สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียด หลังกัมพูชาปฏิเสธคำขอถอนกำลังจากพื้นที่ช่องบก ซ้ำเสริมทัพอาวุธหนักครบมือกว่า 12,000 นาย พร้อมหันกระบอกปืนจ่อฝั่งไทย
เพจเฟซบุ๊ก "กระทรวงกลาโหมกัมพูชา" โพสต์เมื่อเวลา 14.20 น. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับกรณีเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ได้หารือกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา
โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่า จากการพูดคุยกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะลดความตึงเครียด โดยรักษาการสื่อสาร ความเข้าใจ และการเจรจาอย่างสันติต่อไปในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะทางทหารระหว่างกัมพูชากับไทย
อย่างไรก็ตาม "ในส่วนของคำขอของฝ่ายไทย ให้กัมพูชาถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งในพื้นที่มอมเตย (ช่องบก) ซึ่งเกิดการสู้รบเมื่อวันที่ 28 พ.ค. นั้น ฝ่ายกัมพูชาขอปฏิเสธที่จะทำตามคำขอดังกล่าว"
กระทรวงกลาโหมกัมพูชา บอกอีกว่า เนื่องจากจุดที่ตั้งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งได้ประจำการอย่างถาวรมาตั้งแต่ต้น ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งที่กองทัพกัมพูชาประจำการมาเป็นเวลานานและอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาได้
ตราบใดที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่และมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เราจะไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางในการรักษาเสถียรภาพชายแดนได้ ฝ่ายกัมพูชายังคงยึดมั่นที่จะเคารพบันทึกความเข้าใจปี 2543 (MOU 2543) เช่นเดียวกับที่เคยทำมาในอดีต
ดังนั้น ฝ่ายกัมพูชาจึงได้ตัดสินใจเตรียมการเพื่อส่งพื้นที่พิพาททั้ง 4 แห่ง คือ มอมเตย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโตช และปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก เพื่อยุติข้อพิพาทและกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน กัมพูชาตั้งใจที่จะยอมรับเฉพาะสันติภาพ เสถียรภาพ และผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ในเรื่องนี้ ฝ่ายไทยยังแสดงความเคารพต่อสิทธิของกัมพูชาในการยื่นประเด็นทั้ง 4 พื้นที่ดังกล่าวต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นอกจากนี้ เรายังตกลงที่จะดำเนินกลไกการเจรจาต่อไปในการประชุม GBC/JBC/RBC ในประเด็นอื่น ๆ ในอนาคต
เขมรขนทหารตรึงช่องบก กว่าหมื่นสองพันนาย
รายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงพื้นที่ชายแดนไทย -กัมพูชาบริเวณช่องบก เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธหนัก เข้าพื้นที่ต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดกรณีแม่บ้านทหารกัมพูชาทำกิจกรรมบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จนมีการปะทะคารมระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา
ต่อมากัมพูชาเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่พร้อมนำอาวุธเข้ามาประจำการต่อเนื่องโดยมีกำลังพลประมาณกว่า 10,000 นาย แต่หลังเกิดเหตุปะทะช่องบก และทหารกัมพูชาได้เสียชีวิต ทางกัมพูชาได้เพิ่มกำลังทหารเข้ามาเสริมอีกกว่า 3,000 นาย ทำให้มีทหารกัมพูชา ที่อยู่ในพื้นที่เกือบ ช่องบก กระจายอยู่ในพื้นที่ เนิน 745 เนิน 641 และตรง พื้นที่ มอมเบย์ (ศาลาตรีมุข) จำนวน 12,000 นาย
โดยกำลังทหารกัมพูชา ได้นำอาวุธหนักตั้งเต็มพื้นที่ชายแดน กัมพูชาเช่นกัน พร้อมหันปลายกระบอกปืนมายังฝ่ายไทย โดยมีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องยิงจรวด4ลำกล้องติดตั้งบนรถบรรทุก 6 ล้อ และรถบรรทุกจรวด 60 ลูก 1 คัน จรวดหลายลำกล้อง RM-70 ขนาด 122 มม.ปืนสั้น SH-1A ขนาด 155 มม. รถเรดาร์อุตุนิยมวิทยา 702 D รถถังรุ่น T-55 ปืนใหญ่ขนาด130มม.M-64 ปืนใหญ่ขนาด 122 มม.ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 23 มม. ZU-23 จรวดต่อสู้อากาศยานระดับเพดานต่ำ QW-3 ปืนไร้แรงสะท้อนขนาด 82 มม.ปืน ค.60 ปืนกลหนัก 12.7 มม.ปืนใหญ่ลากจูง ป.125 มม.TYPE-85 จากจีน ปืนใหญ่ลากจูง ป.อัตราจร ขนาด155มมSH1A จากจีน เครื่องยิงลูกระเบิดกึ่งอัตโนมัติรุ่นLG-4 จากจีน จรวดหลายลำกล้อง BM-21 สหภาพโซเวียต