ที่ประชุมซอฟต์พาวเวอร์ ทุ่มงบ 150 ล้าน จัดสงกรานต์ ชวนใส่ผ้าไทย-กางเกงประจำจังหวัด พร้อมดัน ไทยเป็น Art Hub เอเชีย เปิดพื้นที่ให้เยาวชนแสดงสตรีทอาร์ต ส่งเสริมศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ร่วมกันแถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568
นายสรวงศ์ กล่าวว่า ความคืบหน้าการจัดงานมหาสงกรานต์ หรือ Thai Water Festival ประจำปี 2568 ในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมใหญ่ที่สนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 11-15 เม.ย.นี้ ส่วนไฮไลท์ของงานจะอยู่ในวันที่ 12 เม.ย.ที่จะมีขบวนแห่คาร์นิวัลอย่างยิ่งใหญ่ โดยทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์มีการคิดและร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศ หรือ ททท. ในการทำให้ปีนี้เป็นปีแห่ง Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
นายสรวงศ์ เผยว่า ในวันที่ 12 เม.ย.จะมีขบวนแห่ และมีเวทีแสดงศิลปะวัฒนธรรม มีการออกบูทขายสินค้าประจำจังหวัด และการประชุมวันนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายในเรื่องการใส่ผ้าไทยใส่สนุก ผ้าไทยลายดอก และการใส่กางเกงประจำจังหวัดมาร่วมรณรงค์ และอยากให้ประชาชนช่วยกันผลักดันซอฟพาวเวอร์ในจังหวัดตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื้อผ้า อาหาร และศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
ส่วนในเรื่องการจัดกิจกรรมทั่วประเทศ ทางททท.ได้ทำลายแทงกิจกรรมทั่วประเทศ โดยมีจังหวัดใหญ่ๆที่จัดงานใหญ่ ทั้งเชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา นครศรีธรรมราช และพระประแดง สมุทรปราการ โดยจะใช้งบประมาณจากสำนักงบประมาณ ทั้งสิ้น 150 ล้านบาท
ด้านนายจุลพันธ์ กล่าวถึง ความคืบหน้าการจัดทำมาตรการสิทธิประโยชน์ด้านศิลปะ ว่า การทำงานเรื่องนี้มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงศิลปะนานาชาติ ระดับโลก ทำให้ไทยเป็นศูนย์แสดงศิลปะ เป็นตลาดการซื้อขายศิลปะ และการจัดเก็บผลงานศิลปะต่างๆ โดยมีเป้าหมายสำคัญ 3 เรื่องคือ 1.การดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มรายได้และสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ 2.การเปิดโอกาสให้ผลงานศิลปินไทยเป็นที่ยอมรับ มีความมั่นคงทางอาชีพ มีพื้นที่ในการจัดแสดงและมีพื้นที่ในการแสดงออก และ 3.การสร้างซอฟพาวเวอร์ให้กับไทยผ่านทางผลงานศิลปะของศิลปินชาวไทย

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มีออกมาตรการเพื่อรองรับซอฟต์พาวเวอร์ด้านศิลปะ โดยกรมสรรพากรมี 2 มาตรการ คลอบคลุมกลุ่มที่ซื้องานศิลปะและกลุ่มที่เป็นศิลปิน โดยกลุ่มที่ซื้องานศิลปะสามารถนำรายจ่ายที่ซื้องานศิลปะ สาขาทัศนศิลป์ นำมาเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ถึง 1 แสนบาทต่อปี ในส่วนของศิลปินสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักในการคำนวณรายได้ภาษีบุคคลธรรมดาได้เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 60%
ในส่วนกรมศุลกากร จะมีการจัดตั้งเขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการและจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายน 2568 ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้เกิดการยกเว้นอากรขาเข้าให้กับศิลปะต่างๆ ทั้งเครื่องจักรอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการประกอบกิจการในเขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์
“ขณะนี้เรากำลังดำเนินการพูดคุยเพิ่มเติมแก้ไขปัญหาและลดอากรของศิลปะที่จะนำเข้ามาในประเทศไทย ทั้งประเภทที่ไม่ได้นำมาเพื่อขาย นำมาเพื่อจัดแสดงในกิจกรรมต่างๆ และประเภทที่นำเขาเพื่อขาย ซึ่งขณะนี้เก็บภาษีอยู่ที่ 10 % ซึ่งจะมีการหารือต่อไป เพื่อปรับเปลี่ยนให้มีการขับเคลื่อนตลาดการค้าขาย ตลาดการแสดงศิลปะประเภทเหล่านี้ให้เพิ่มมากขึ้น” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า จะมีการผลักดันให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ทั้งการจัดงานแสดงศิลปะ การสร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆ การซ่อมแซมงานศิลปะ การนำเข้าและส่งออกงานศิลปะ ซึ่งได้รับการยกเว้นอากร ทั้งหมดเพื่อขับเคลื่อนในไทยเป็น Art Hub ของเอเชียต่อไปในอนาคต
ขณะที่น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า การจัดงานประกวดภาพวาดบนผนัง Thai Youth Street Art นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจเรื่องนี้ โดยจะให้มีการวาดสตรีทอาร์ตบนกำแพง เพื่อส่งเสริมศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้เยาวชนมีโอกาสที่จะมีความภูมิใจในตัวเอง โดยวันที่ 29 - 30 มี.ค.นี้ จะเปิดพื้นที่ให้เยาวชน ทั้ง ระดับนักเรียนนักศึกษา ได้มาวาดภาพในท้องถิ่น โดยช่วงแรกของโครงการ จะมี 33 จังหวัด 46 สถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วม โดยทีมที่ชนะจะได้รางวัลจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 500,000 บาท พร้อมด้วยโล่ประกาศเกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรี ประกาศเกียรติบัตร จากกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกรุงเทพมหานคร
สำหรับโครงการระยะที่ 2 จะจัดในเดือนพฤษภาคม โดยจะให้ทุนการศึกษาชิงไปต่างประเทศ ในโครงการ หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน หรือ ODOS และให้ไปศึกษาในประเทศญี่ปุ่น