กรมอุตุนิยมวิทยา คาด ค่าดัชนีความร้อนสูงสุดรายวัน 14 เม.ย.66 พุ่งปรอทแตก อยู่ในระดับอันตราย กทม. พื้นที่บางนา 52.6 องศาฯ ขณะที่ สัตหีบ สูงสุด 53.2 องศา
กรมอุตุนิยมวิทยา รายงาน คาดหมายค่าดัชนีความร้อนสูงสุดรายวัน ประจำวันที่ 14 เม.ย. 2566 พบว่าจังหวัดที่มีความร้อนสูงสุดในแต่ละภาค
ภาคเหนือ ที่ จ.เพชรบูรณ์ 46.3 องศา ภาคอีสาน ที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา 42.7 องศา ภาคกลาง บางนา กทม. 52.6 องศา ภาคตะวันออก สัตหีบ ชลบุรี 53.2 และภาคใต้ ภูเก็ต 46.7 องศา
จากข้อมูลจะพบว่าเกือบทุกภาคของประเทศไทย ค่าดัชนีความร้อนอยู่ในระดับอันตราย (41-54 องศาฯ) ประชาชนอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ มีอาการตะคริวที่น่อง ต้นขา หน้าท้อง หรือไหล่ ทำให้ปวดเกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเกิดภาวะลมแดด (Heat stroke) หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ กรมอนามัยแบ่งระดับค่าดัชนีความร้อน เฝ้าระวังเตือนภัยผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อน ไว้ดังนี้
สีเขียว - ระดับเฝ้าระวัง ดัชนีความร้อน 27-32 องศาเซลเซียส ผลกระทบต่อสุขภาพ คืออ่อนเพลีย วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวจากการสัมผัสความร้อนหรือออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงงานท่ามกลางอากาศที่ร้อน
สีเหลือง - ระดับเตือนภัย ดัชนีความร้อน 32-41 องศาเซลเซียส ผลกระทบต่อสุขภาพ เกิดอาการตะคริวจากความร้อนและอาจเกิดอาการเพลียแดด (Heat Exhaustion) หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน
สีส้ม - ระดับอันตราย ดัชนีความร้อน 41-54 องศาเซลเซียส ผลกระทบต่อสุขภาพ มีอาการตะคริวที่น่อง ต้นขา หน้าท้อง หรือไหล่ ทำให้ปวดเกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเกิดภาวะลมแดด (Heat stroke) ได้ หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน
สีแดง - ระดับอันตรายมาก ดัชนีความร้อน มากกว่า 54 องศาเซลเซียส ผลกระทบต่อสุขภาพ มีภาวะลมแดด (Heat stroke)
สำหรับ ดัชนีระดับความร้อน (Heat Index Temperature) หมายถึงสภาวะที่ทำให้ร่างกายเรารู้สึกร้อนขึ้นมากกว่าอุณหภูมิของอากาศจริงที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์ เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างอุณหภูมิของอากาศกับความชื้น ทำให้ร่างกายรู้สึกสูญเสียความเย็นออกไปจากบริเวณผิวหนัง ส่งผลให้รู้สึกร้อนมากกว่าอุณหภูมิของอากาศจริง อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากอากาศร้อนได้ สภาพอากาศที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย เนื่องจากความร้อน คือสภาพอากาศที่มี ค่าดัชนีระดับความร้อนตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
สำหรับวิธีรับมือภาวะอากาศร้อน
1.ดื่มน้ำมาก ๆ : อากาศร้อนอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและสูญเสียน้ำได้ง่าย ดังนั้นควรดื่มน้ำเป็นประจำเพื่อรักษาความชื้นของร่างกาย และลดการเกิดอาการต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้
2.เน้นรับประทานอาหารที่ปรุงสุก เเละปรุงใหม่ : การปรุงอาหารอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการสะสมของพิษในร่างกาย เพราะอาหารที่ไม่ได้รับการปรุงสุก หรือปรุงใหม่ อาจมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และไวรัส ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
3.รักษาอุณหภูมิร่างกาย : อากาศร้อนอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และมีเหงื่อออกมากขึ้น ควรรักษาอุณหภูมิร่างกายด้วยการอาบน้ำเย็น หรือใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า และตามร่างกาย
4.ลดการออกกำลังกาย : ลดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก เพราะอากาศร้อนอาจทำให้ร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน และออกซิเจนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย แนะนำให้เลือกกิจกรรมเบาๆ เช่น วิ่ง หรือโยคะยามเย็น
5.รักษาอุณหภูมิของร่างกาย : การรักษาอุณหภูมิของร่างกายในช่วงอากาศร้อนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่ออากาศร้อนจัด ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อต้องรับมือกับอันตรายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายได้ เช่น หากอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนมาก ควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีลักษณะบางเบา และปลอดโปร่ง ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายให้เกิดความสมดุล