ฝ่ายค้าน จี้รัฐบาลเร่งล่ามือยิง อดีตส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชากลางกรุงฯ เชื่อนานาชาติจะจับตาเรื่องนี้ ด้าน "กัณวีร์" จี้นายกฯรับผิดชอบ เรื่องต้องไม่เงียบ อย่าตกเป็นเครื่องมือประเทศเพื่อนบ้าน
นายปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน แถลงเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งติดตามจับกุมผู้กระทำผิดในการลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้าน พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา หรือ CNRP หลังเมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) เวลา 18.00 น. นายลิม ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง วัย 74 ปี ถูกสังหารด้วยอาวุธปืน จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุบริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ ในระหว่างที่นายลิม พร้อมภรรยา และผู้ติดตาม ได้เดินทางเข้ามาภายในประเทศไทยในฐานะท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันนายลิม ถือสัญชาติทั้งกัมพูชา และฝรั่งเศส และยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองในกัมพูชา โดยมีจุดยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชามาโดยตลอด ดังนั้นการเสียชีวิตในครั้งนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นอดีต สส.กัมพูชา แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาจึงทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามจากสังคม ถึงเหตุจูงใจในการก่อเหตุว่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองภายในประเทศกัมพูชาหรือไม่ ดังนั้นตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย ในฐานะที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ต้องเร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นด้านความมั่นคง ความปลอดภัยและความยุติธรรม กลับมาสู่สายตาชาวไทยและชาวโลกโดยเร็ว ก่อนที่ต่างชาติจะมองประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของแก๊งอาชญากรรม เป็นแหล่งซ่อมสูงอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ หายาเสพติด โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน จึงขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการโดยเร็ว และเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมให้สิ้นซาก ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (8 ม.ค.) ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว จึงหวังว่า จะสามารถจับกุมคนร้ายมาสอบสวนได้โดยเร็ว
ส่วนตั้งข้อสังเกตต่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไรนั้น นายปิยรัฐ คาดว่า อาจเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจทางการเมืองภายในของกัมพูชาหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เคยถูกข่มขู่ภายในกัมพูชาเหมือนกัน ดังนั้น จึงขอให้เจ้าหน้าที่เร่งจับกุมคนร้ายเพื่อมาสอบสวนในอนาคตต่อไป และหวังว่าจะไม่เป็นการจงใจมาสังหารนายลิม ในประเทศไทย
ส่วนที่ครอบครัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความใกล้ชิดกับสมเด็จฮุนเซนฯ นั้น นายปิยรัฐ ระบุว่า รัฐบาลจะต้องตอบคำถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน ไม่ทำให้เป็นไฟลามทุ่ง พร้อมเร่งจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุด
ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศไทยนั้น นายปิยรัฐ เชื่อว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องเฉพาะกัมพูชา แต่จะเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศสด้วย เพราะนายลิม ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และเชื่อว่า ทั้งยุโรป และสหประชาชาติ จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะทั่วโลกจับตาอยู่แล้วว่า พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชา กำลังถูกเล่นงานจากรัฐบาลกัมพูชา จึงถือเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลไทย
นายปิยรัฐ ยังระบุด้วยว่า ศาลกัมพูชาเคยมีคำสั่งตัดสินยุบพรรค CNRP เมื่อปี 2560 จากข้อกล่าวหามีการวางแผนสมคบคิดกับชาวต่างชาติในการโค่นล้มรัฐบาลสมเด็จฮุนเซน ซึ่งคำตัดสินของศาลมีผลทำให้สมาชิกพรรค CNRP ทั้งหมด 118 คน ถูกคำสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่งผลให้การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2561 พรรครัฐบาล ที่นำโดยสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สามารถลงเลือกตั้งโดยไร้คู่แข่งหลัก และหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค CNRP บางส่วนต้องลี้ภัยในต่างประเทศ ซึ่งแม้พรรค CNRP จะถูกยุบ แต่ก็ยังมีสมาชิกเคลื่อนไหวอยู่โดยเฉพาะนายลิม
ด้าน นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงบทบาทของนายลิม หากเทียบกับประเทศไทย ก็จะเทียบได้กับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และหวังว่า ต่างชาติจะไม่มองประเทศไทย เป็นบ้านป่าเมืองถือ แต่เรื่องดังกล่าว ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะการสังหารในย่านบางลำภู กรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น และหวังว่า รัฐบาลจะเร่งจัดการในเรื่องนี้
ขณะที่ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า เหตุการณ์คนร้ายก่อเหตุยิงนายลิม คิมยา ชาวกัมพูชา สัญชาติฝรั่งเศส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และอดีต ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ชาวกัมพูชา ที่ย่านบางลำภู เรียกว่าการกดปราบ ข้ามชาติ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ใช่กรณีแรก เป็นการที่ผู้ลี้ภัยหนีการประหัตประหาร จากประเทศหนึ่ง มาอีกประเทศหนึ่ง และมีการร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นอย่างเปิดเผยหรือในทางลับ ทำให้เกิดการกดปราบข้ามชาติ เหมือนกรณีของนายวันเฉลิมสัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่หายตัวในกัมพูชา ขณะที่เมื่อเดือนที่แล้วทางการไทยได้ส่งตัวอดีตนักเคลื่อนไหว ชาวกัมพูชากลับไปกัมพูชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นความหย่อนยานในกระบวนการกฎหมายของไทย
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า เป็นความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ นายกัณวีร์ กล่าวว่าแน่นอนเพราะตนทำเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน และช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีอดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝั่งกัมพูชา มาเสียชีวิตในพื้นที่ภาคอีสานของไทยอย่างต่อเนื่อง จึงสงสัยว่า เมื่อไหร่รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับเรื่องการกดปราบข้ามชาติอย่างจริงจัง จะต้องไม่เป็นเครื่องมือ ทางการเมืองของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของเรา
เมื่อถามถึงมาตรการการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือผู้ลี้ภัยทางการเมือง ไม่ใช่การผลักดันกลับประเทศ แต่สามารถยิงได้เลย ใช่หรือไม่ นายกัณวีร์.กล่าวว่า จริงๆแล้วไม่ได้ เพราะทางกฎหมายและประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศ ที่เรายึดมั่นอยู่แล้วเป็นหลักการไม่ส่งกลับ โดยเฉพาะมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปร ามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหายหรือพ.ร.บ. อุ้มหาย ที่ระบุว่าไทยไม่สามารถผลักดัน คนที่หนีการประหัตประหาร กลับไปที่ประเทศต้นทางได้ แต่ที่ยิ่งเลวร้ายกว่าคือการปล่อยให้ มีการ ประหัตประหารในพื้นดินไทย ซึ่งไทยผิดทั้งกฎหมายในประเทศ และหลักการระหว่างประเทศ ทั้งนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเหตุการณ์ยิงครั้งนี้เป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ จะต้องสืบสวนสอบสวนอย่างโปร่งใส
นายกัณวีร์ ยังเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี ว่าการคุ้มครองระหว่างประเทศโดยเฉพาะผู้ลี้ภัยในประเทศไทย แม้ว่าไทย จะยังไม่ลงสัตยาบัน ในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย แต่เรามีทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งอย่างไรต้องรับผิดชอบอยู่แล้วเพราะมีคนมาตายในประเทศไทย แต่ต้องขยายความให้ได้ว่าเขาเป็นผู้ลี้ภัยจริงหรือไม่ แต่เราต้องให้ความคุ้มครองคนที่อยู่ในประเทศไทยไม่ว่าเขาจะสัญชาติอะไร ซึ่งการที่ผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาเสียชีวิตในประเทศไทยมีมานานแล้ว เรื่องก็เงียบมานานแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องไม่เงียบอีกต่อไป