ครม.เคาะกรอบ งบปี69 ที่ 3.78 ล้านลบ. ขาดดุล 8.6 แสนลบ.

ครม.เคาะกรอบ งบปี69 ที่ 3.78 ล้านลบ. ขาดดุล 8.6 แสนลบ.
ครม.ไฟเขียวกรอบงบฯ69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน ขาดดุล 8.6 แสนล้าน เก็บรายได้เพิ่ม 3 หมื่นล้าน  “จุลพันธ์” ชี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังเห็น ธปท.ทำเงินเฟ้อเข้ากรอบและใกล้เคียงระดับ 2%

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีงบประมาณ 2568 โดยคาดการณ์รายได้รัฐบาลสุทธิ 2.92 ล้านล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.3% ของ GDP ซึ่งเป็นการขาดดุลงบประมาณที่ลดลงจากปี 2568

การจัดทำกรอบงบประมาณดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจไทยปี 2569 ขยายตัวได้ 2.3-3.3% (ค่ากลาง 2.8%) อัตราเงินเฟ้อ 0.7-1.7% (ค่ากลาง 1.2%)

ทั้งนี้ โครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย

- รายจ่ายประจำ 2.64 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 70% ของวงเงินงบประมาณ

- รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 1.23 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.3% ของวงเงินงบประมาณ

- รายจ่ายลงทุน 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.7% ของวงเงินงบประมาณ

- รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 1.51 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.0% ของวงเงินงบประมาณ

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2569 ยังคงดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณ เพื่อมุ่งเน้นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ทั้งปัญหาหนี้สิน รายได้ และค่าครองชีพ ตลอดจนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและการบริการ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางรากฐานของประเทศไทยให้เกิดความเท่าเทียมและยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ได้ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบ 69-72) อย่างเคร่งครัด ดังนี้

1.ให้กระทรวงการคลัง จัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เทียบเคียงการดำเนินการกับประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใกล้เคียงกับไทย

2.ให้หน่วยรับงบประมาณ ใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้เสนอขอรับเท่าที่จำเป็น โดยให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนของภาครัฐ

3. ส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐ ที่มีเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือเงินสะสม ให้นำเงินมาใช้ดำเนินโครงการ/ภารกิจในความรับผิดชอบเป็นลำดับแรก

4. ให้ทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ และให้พิจารณาการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชน และนักลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น


ด้านนายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังกล่าวว่ากรอบงบประมาณปี 2569 ที่ ครม.เห็นชอบเป็นไปตามที่ที่ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบทั้งนี้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท มีการการขาดดุลงบประมาณลดลง 5 พันล้านบาท กรอบงบประมาณรวมเพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นล้านบาท และจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยการขาดดุลงบประมาณที่อยู่ในระดับสูงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็นที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า ทั้งนี้ขั้นตอนกระบวนการที่จะตั้งงบประมาณต้องดูวินัยการคลัง ต้องดูสัดส่วนตามที่กฎหมาย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังกำหนด กรอบการขาดดุลต่างๆนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยขั้นตอนต่อไปก็ต้องมีการดูในเรื่องของงบประมาณที่เสนอเข้ามาและจัดสรรงบประมาณตามความเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้หน่วยงานเศรษฐกิจต่างมองว่าระดับของงบประมาณนี้เหมาะสมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป ซึ่งหลังจากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ทางกระทรวงการคลังจะต้องดูการจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย สำนักงบประมาณต้องดูในเรื่องของการใช้จ่าย และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ต้องมีหน้าที่ไปดูเงินเฟ้อให้ได้ตามกรอบเป้าหมาย 1-3 % และให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างรมว.คลังกับผู้ว่า ธปท.ที่จะทำให้เงินเฟ้อเข้าใกล้ 2% ตามที่ตกลงไว้ โดยเรื่องนี้ต้องให้เวลาที่ ธปท.จะทำให้เงินเฟ้อเข้ากรอบและค่ากลางที่ 2% 

นอกจากนั้นในข้อตกลงระหว่างกระทรวงการคลังและ ธปท.ยังมีการกำหนดด้วยว่า ธปท.จะต้องดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับเหมาะสมที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันระหว่างคู่ค้าและคู่แข่ง

TAGS: #งบปี69 #งบประมาณ #จุลพันธ์