"อี้ แทนคุณ" เผย ตำรวจ เตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาล็อต 3 คดี"หมอบุญ"ฉ้อโกง แย้ม ไม่กลับไทยแล้ว หนีกบดานบ้านที่อังกฤษ
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม เผย ความคืบหน้าคดี นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงฟอกเงิน และหลอกให้ร่วมลงทุน ว่า เตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาล็อตที่ 3 กลุ่มเซลล์ซึ่งเดิมทีเป็นกลุ่มหมอและคนใกล้ชิดกับหมอบุญ รวมไปถึงกลุ่มโบรกเกอร์ โดยมีสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีใบอนุญาต และอีกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซลล์ ซึ่งจะได้นับผลตอบแทน 1.5% ของการเชิญชวนเพื่อร่วมลงทุนตามสัดส่วนของเงินลงทุน แต่กลุ่มโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจะได้เปอร์เซ็นต์เยอะกว่า อยู่ที่ 3%
นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า บางคนในกลุ่มนี้ได้มาพูดคุยกับตนและบอกว่าเป็นผู้เสียหาย ซึ่งคาดว่ามีจำนวนเยอะเหมือนกันที่เป็นผู้เสียหาย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน(PN) ซึ่งเป็นกลุ่มเก่าที่นำหุ้นของโรงพยาบาลมาค้ำ อาจมีการออกหมายจับวันที่ 12 ธ.ค.2567 นี้ ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่หมอบุญไปกู้ยืมเงินมา ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านโบรกเกอร์
โดยในช่วงบ่ายวันนี้(4 ธ.ค.) จะมีผู้เสียหาย 2 ครอบครัว ที่ถูกหลอกเงินไปลงทุนประมาณกว่า 40 ล้านบาท จะไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม (กองปราบ)
นายแทนคุณ ยังกล่าวว่า หมอบุญคงไม่มีโอกาสที่จะกลับไทยแล้ว และการจับกุมก็คงไม่สามารถทำได้ คาดว่าจะหลบหนีไปอยู่ประเทศอังกฤษ เพราะหมอบุญมีบ้านอยู่ที่นั้น
นายแทนคุณ กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆเพราะต้องมีการขยาย ผลไปยังผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะทรัพย์สินที่หมอบุญถ่ายโอนไปเป็นชื่อใครบ้าง ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่นำเงินของผู้เสียหายไปใช้ ซึ่งส่วนนี่เรียกว่ามันนี่เกมส์ นำเงินใหม่มาโปะเงินเก่า และก็หมุนอยู่ในระบบ บางส่วนก็โยกย้ายถ่ายโอนไป ส่วนฉโนดที่ดินก็โอนย้ายไปให้กับคนใกล้ชิด ส่วนเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการคัดกรองผู้เสียหาย เพราะหลายคนไม่รู้ว่าถูกหลอกให้ลงทุนและแอบอ้างว่ามีการลงทุนจริง ซึ่งแท้จริงเป็นการลงทุนทิพย์ ส่วนอีกเรื่องคือมีการข่มขู่ผู้ที่มาแจ้งความเพราะอยากให้คดีนี้เงียบที่สุด และหายไปตามกระแส โดยมีการข่มขู่ผู้เสียหายถ้าใครพูดจะถูกฟ้องดำเนินคดี และไปตรวจสอบภาษีทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว เพราะผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นผู้มีอันจะกิน
นายแทนคุณ หวังว่า ทางตำรวจจะสามารถให้ความชัดเจนในการสืบคดีนี้ต่อไป รวมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อคดีนี้ เพราะผู้เสียหายยังสับสนว่าต้องไปให้เบาะแสที่ไหน ซึ่งคาดว่าท้ายที่สุดคดีนี้จะตกอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ