นายกฯ ลั่นไม่ยกเลิก MOU 44  เตรียมเดินหน้าเจรจาผลประโยชน์ทางทะเล

นายกฯ ลั่นไม่ยกเลิก MOU 44  เตรียมเดินหน้าเจรจาผลประโยชน์ทางทะเล
นายกรัฐมนตรี ยืนยันเกาะกูดเป็นของประเทศไทย ไม่มีการยกเลิก MOU 44 เตรียมตั้งคณะกรรมการฝ่ายไทย คุย กัมพูชา ต่อ ชี้รัฐบาลนี้ รักษาผลประโยชน์ให้คนไทย  

น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เผยผลการหารือพรรคร่วมรัฐบาล กรณี MOU 44 บันทึกข้อตกลงไทย - กัมพูชา  เกี่ยวกับกรอบเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย – กัมพูชา โดยยืนยันว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทย และเป็นมาตั้งนานแล้ว ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างรับรู้อยู่แล้วว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย และเป็นไปตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส แน่นอนว่ารัฐบาลนี้จะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปให้ใครก็ตาม ย้ำว่าเกาะกูด ไม่เคยมีปัญหากับทางกัมพูชา และไม่เคยมีข้อสงสัยในเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันของคนในประเทศไทยเอง  ซึ่งความจริงแล้วขอให้มั่นใจได้ว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย  ส่วน mou 44 ยังคงอยู่ไม่สามารถมีการยกเลิกได้ หากจะยกเลิกต้องใช้ข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศ  หากไทยยกเลิกเองก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอาจถูกฟ้องร้องได้ เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ 

ส่วนรัศมีรอบเกาะกูดในพื้นที่ทะเล มีความชัดแจนอย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยัน MOU ดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกาะกูด เพราะเส้นที่ตีหากไปดูทางกัมพูชาก็ได้ตีเส้นเว้นเกาะกูดไว้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกัน ซึ่งในการพูดคุยไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ดิน แต่มีการพูดคุยทางทะเลในสัดส่วนที่มีการขีดเส้น ซึ่ง mou มีการขีดเส้นไม่เหมือนกัน แต่เนื้อหาใน mou เป็นข้อตกลงจะมีการเจรจากันทั้งสองประเทศ นี่คือความหมายใน mou 44 ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้น หรือต้องตกลงพูดคุยกันอย่างไร ต้องมีคณะกรรมการ คณะทำงานมาพูดคุยกัน ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการทางกัมพูชามีอยู่แล้ว แต่ของไทยเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ต้องเปลี่ยนคณะกรรมการด้วย เนื่องจากคณะกรรมการต้องจบไปตามรัฐบาล ซึ่งตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีคณะกรรมการนี้เกิดขึ้น ดังนั้นรัฐบาลอยู่ระหว่างจัดตั้งคณะกรรมการนี้อยู่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ จะได้ในเร็วๆ นี้ เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการเสร็จสิ้น ก็จะมีการศึกษาและหารือกัน ว่าระหว่างประเทศจะดำเนินการข้อตกลงอย่างไร 

ส่วนที่มีการมองว่า หากไม่ยกเลิก MOU 44จะทำให้ไทยยอมรับเส้นของกัมพูชานั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีการยอมรับเส้นใด ๆ ซึ่ง MOU นี้ คือการที่คิดไม่เหมือนกันแต่ต้องแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศซึ่งตั้งแต่ปี 2515 กัมพูชาได้ดำเนินการขีดเส้นมาก่อน เมื่อปี 2516 ประเทศไทยก็ดำเนินการขีดเส้นด้วย เมื่อขีดเหมือนกัน แต่ข้อตกลงข้างในไม่เหมือนกัน จึงต้องมี mou ขึ้นมา แล้วเปิดการเจรจา ซึ่งเป็นความเท่าเทียมกันว่าทั้งสองประเทศ จะต้องพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร  โดย mou นี้ไม่เกี่ยวข้องกันเกาะกูด และเกาะกูดก็ไม่อยู่การเจรจา จึงขอให้คนไทยสบายใจได้ว่าจะไม่เสียเกาะกูดไป ซึ่งกัมพูชาไม่สนใจเกาะกูดของไทย เพราะไม่ได้อยู่ในการเจรจานี้ จึงขอให้ประชาชนอย่ากังวลเรื่องนี้  

ขณะเดียวกันมีข้ออ้างว่า ไทยมีมติ ครม. ยกเลิก MOU 44 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้  ข้อเท็จจริงคือ MOU 44ยกเลิกไม่ได้ ถ้าไม่เกิดการตกลงระหว่างสองประเทศ และเรื่องนี้ต้องเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มี และเมื่อปี 2552 ไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภา และในปี 2557 พลเอกประยุทธ์ ยืนยันเป็นเนื้อเดียวกัน มีมติ ครม.ว่าไม่มีการยกเลิก 

ส่วนมีกระแสให้มีการยกเลิก MOU 44  นายกรัฐมนตรี จะดำเนินการแก้ไขอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาบานปลาย นายกรัฐมนตรี ย้อนถามกลับว่า ยกเลิกแล้วได้อะไร ซึ่งการยกเลิกแล้วได้อะไร ต้องกลับมาที่เหตุและผล ทุกประเทศอาจคิดไม่เหมือนกันได้ เมื่อคิดไม่เหมือนกันก็ต้องมีข้อตกลงเพื่อมาพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ การรักษาความสงบของประเทศเป็นสิ่งสำคัญดังนั้นในเอ็มโอยูนี้จึงเปิดให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกัน ซึ่งหากไทยยกเลิกอาจโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาอย่างแน่นอน  ซึ่งไม่มีประโยชน์ใด ๆ  ซึ่งการหารือในวันนี้ ยืนยันว่าตนเองรับฟังเสียงคัดค้าน จึงมีการมาพูดคุยและทุกคนตกลงในเนื้อหาเดียวกันอย่างง่ายดาย และเข้าใจตามรายละเอียดว่า เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศไม่เกี่ยวกับเสียงคัดค้าน วันนี้ที่ออกมาชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจเพื่อจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า  MOU ไม่เกี่ยวกับเกาะกูด และ MOU เป็นเรื่องข้อตกลงระหว่างประเทศ  และไทยยังไม่ได้เสียเปรียบในเรื่องของการตกลงเรื่องนี้ ดังนั้นอย่าเอาเรื่องการเมืองมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะสั่นคลอน จึงขอทำความเข้าใจต่าง  ให้ตรงกันตามหลัก และพรรคร่วมรัฐบาล ก็เห็นด้วยในการเดินหน้า mou ต่อในเรื่องนี้   ขณะนี้กัมพูชารอฝ่ายไทยตั้งคณะกรรมการ เพื่อเป็นตัวแทนไปพูดคุย เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่บานปลายหากทุกคนเข้าใจในหลักการ เพราะคือข้อเท็จจริง ยืนยันว่าไม่มีเบื้องหลังใด ๆ  แต่นี้คือกรอบเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องนี้ไม่เป็นเผือกร้อนในมือของตนเอง  

ส่วนแนวทางของรัฐบาลไทยกับข้อตกลงผลประโยชน์ที่ทับซ้อนทางทะเล จะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคุยกันระหว่างประเทศพร้อมศึกษารายละเอียดจะสามารถแบ่งกันอย่างไร เพื่อทั้งสองประเทศได้ผลประโยชน์และเกิดความยุติธรรม เพราะหลายคนรู้ว่ามีก๊าซธรรมชาติ และสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้รู้ในรายละเอียดต่างๆ ไปศึกษาร่วมกันทั้งสองประเทศ เพื่อให้ได้คำตอบต่อประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งอยู่ในกระบวนการต่อไป  


ส่วนจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อพูดคุยกับกัมพูชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถสร้างคอนเน็ตชั่นดีๆ ได้ เปรียบเหมือนมีเพื่อนสนิท ก็สามารถคุยกับเพื่อนสนิทได้ แต่เรื่องผลประโยชน์แต่ละประเทศต้องใช้คณะกรรมการ เพื่อจะได้ไม่เกิดการต่อต้าน ซึ่งเรื่องของประเทศบางอย่างที่สำคัญต้องใช้กรรมการคุยกัน เพื่อจะเกิดความรู้ รู้ครบ และมีความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและยืนยันรัฐบาลนี้ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างสูงสุด เพราะตนเองเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์และประเทศไทย คนไทย ต้องมาก่อน ดังนั้นรัฐบาลนี้ยืนยันจะรักษาแผ่นดินไทยไว้อย่างเต็มที่ และจะทำให้ประชาชนมีความสุขที่สุด นั่นคือสิ่งที่ต้องการ 


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบว่าในวงหารือพรรคร่วม มีการหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยได้เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที


ด้าน นางสุพรรณวษา โชติกญาณ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ แถลงชี้แจง พร้อมให้ข้อมูลต่อประเด็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชา อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ OCA: Overlapping Claim Area ซึ่งเกี่ยวข้องกับ MOU44 และในโซเชียลมีเดีย ได้มีการกล่าวถึงและเกิดความเข้าใจผิด เกิดความคลาดเคลื่อนในหลายประเด็นว่า โดยยืนยันว่า MOU44 ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนใด ๆ โดยเฉพาะพื้นที่เกาะกูด เพราะตามสนธิสัญญาที่สยาม ได้ลงนามร่วมกับฝรั่งเศสนั้น บัญญัติชัดเจนว่า ''เกาะกูดเป็นของไทย'' ซึ่งมีความชัดเจนอยู่แล้ว และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกันประเทศไทยได้ใช้อำนาจอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด 100% และ MOU44 ก็สอดคล้องกับพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย ปี 2516 เพราะมีการระบุพิกัดต่าง ๆ ตามแนวทางการประกาศเขตไหล่ทวีป ซึ่งไทยก็ยึดหลักการประกาศตามสนธิสัญญาเจนิวา ที่ทุกประเทศ มีสิทธิที่จะประกาศการอ้างสิทธิพื้นที่ทับซ้อน และเมื่อเกิดการทับซ้อน ก็จะต้องไปเจรจา และ MOU44 ก็เป็นความตกลงร่วมกัน เพื่อให้มีการเจรจาซึ่งเป็นไปตามแนวทางสากล โดยที่ประเทศไทยไม่ได้ใช้หลักการเจรจาที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างมีสิทธิอ้างพื้นที่ และผูกพันเฉพาะผู้อ้างเท่านั้น เมื่อมีการทับซ้อนพื้นที่ ก็จะต้องมีการเจรจา

ดังนั้น ใน MOU ข้อ 5 จึงระบุว่า การเจรจาจะไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่ายผู้ทำสัญญา เมื่อมีข้อพิพาท จะต้องมีการพูดคุย และไม่ว่าการพูดคุยจะเป็นอย่างไร แต่เส้นการอ้างสิทธิของไทยยังคงมีอยู่ และไทยก็ไม่ได้ยอมรับการอ้างสิทธิของกัมพูชาเช่นเดียวกัน 

"มีการกำหนดไว้ในข้อ 5 ของ MOU ว่า ภายใต้เงื่อนไขการมีผลบังคับใช้ของการแบ่งเขต สำหรับการอ้างสิทธิทางทะเล ของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลแต่ละภาคีของผู้ทำสัญญา หมายความว่า การอ้างสิทธิของแต่ละฝ่ายก็จะยังคงอยู่ตามกฎหมาย ผลสำเร็จของการเจรจาจะเป็นอย่างไร จะไม่เป็นการทำลายการอ้างสิทธิ ไทยจึงต้องรักษาสิทธิการอ้างสิทธินี้ ไทยไม่ต้องตกลงอะไรทั้งนั้น จนกว่าจะมั่นใจได้ว่า สิ่งที่ไทยได้ ได้สมประโยชน์ของไทย ดังนั้น ไทยจึงไม่เป็นการยอมรับการอ้างสิทธิของกัมพูชา และกัมพูชาเอง ก็ไม่ได้ยอมรับการอ้างสิทธิของไทย" อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยืนยัน 

ส่วนที่หลายฝ่ายมองควรมีการยกเลิก MOU44 นั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ อธิบายว่า ในปี 2552 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยมีมติให้ยกเลิกไปแล้ว เพราะไม่มีความคืบหน้า และความพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ท้าทายทั้งการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร สถานการณ์ความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน กรเจรจาช่วงนั้นจึงยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ซึ่งการเจรจาให้สำเร็จ ก็จะต้องขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการพิเศษ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช., กระทรวงพลังงาน และคณกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งได้ใช้เวลาศึกษาทบทวน 5 ปี จึงได้ข้อสรุปว่า MOU44 ยังคงมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพื่อนำไปสู่การเจรจาให้ประสบความสำเร็จ ในปี 2557 จึงได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี ทบทวน และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในปี 2552 และกระทรวงการต่างประเทศ สนับสนุนให้ทุกรัฐบาลใช้กรอบ MOU44 เป็นกรอบพื้นฐานในการเจรจา เพราะเป็นที่ยอมรับทั้ง 2 ฝ่าย และเคยผ่านการหารือผ่านกรอบ MOU นี้มาแล้ว จึงน่าจะเป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ และใช้คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee) หรือ JTC และคณะทำงานต่าง ๆ (SOM) Senior Officials' Meeting ในการเจรจาต่อไป ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร แต่ MOU44 ได้ให้แนวทาง และความโปร่งใสในการดำเนินการไว้แล้ว และมีการรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ จึงถือเป็นเอกสารที่ให้ได้จริง 

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยังเปิดเผยความคืบหน้าในการเจรจาแก้ไขปัญหาข้อพิพาทดังกล่าวว่า MOU44 ถือเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ที่ไทยจะใช้ในการเจรจา เพราะมีการกำหนดกรอบพื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 2 พื้นที่หลัก ได้แก่ พื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เพื่อคุยพื้นที่แบ่งเขตทางทะเล และพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือให้คุยเรื่องการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องเจรจาทั้ง 2 เรื่องไปพร้อมกันไม่สามารถแบ่งแยกได้

ทั้งนี้เพราะเส้นอ้างสิทธิเป็นเส้นเดียวกัน จึงต้องคุยเขตทางทะเลเพื่อให้เกิดความชัดเจน และเป็น 2 ผลประโยชน์ที่จะต้องรักษา และสร้างกลไกการเจรจาที่ให้มี JTC ที่มีความละเอียดอ่อน และซับซ้อน จึงได้ใช้หน่วยงานเฉพาะ และจะมีคณะกรรมการย่อย ๆ ลงไปอีกด้วย ซึ่ง MOU44 นี้ เป็นโอกาสที่ทำให้ไทยได้รักษาสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งสิทธิการแบ่งเขต และการพัฒนาร่วม ซึ่งวิธีตาม MOU44 เป็นวิธีเดียว ที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุผลประโยชน์สูงสุดของประเทศได้ 

ส่วนทางกัมพูชาเองนั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ระบุว่า ก็ให้การยอมรับ MOU44 ที่เป็นพื้นฐานที่ดี ที่จะสามารถดำเนินการเจาต่อไป และกลไกลที่มีการตั้ง JTC ที่จะเป็นตัวกำหนดนโยบายใหญ่ จะขับเคลื่อนได้ เพราะมีองค์ประกอบส่วนราชการที่ครบถ้วน ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กองทัพ และ สมช. และยังมีองค์ประกอบย่อยซึ่งมีความคล่องตัวคล้ายกับ SOM สามารถประชุมบ่อยครั้งได้ เมื่อมีความคืบหน้า ก็รายงานให้ JTC ทราบได้ และในการเจรจาผลประโยชน์พื้นที่ทางทะเล และการเจรจาผลประโยชน์ทางทรัพยากร ก็มีคณะทำงานแยก โดยในการเจรจาผลประโยชน์พื้นที่ทางทะเลนั้น ตนเองเป็นประธานคณะทำงาน และการเจรจาผลประโยชน์ทรัพยากร จะมีอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นประธาน โดยจะทำงานร่วมกัน และรายงานให้ JTC ทราบเป็นระยะ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะมีการเสนอคณะทำงานต่าง ๆ ใน JTC นี้ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเร็ว ๆ นี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติองค์ประกอบแล้ว ก็จะมีการจัดการประชุมฝ่ายไทย และทาบทามทางการกัมพูชาให้จัดองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกัน เพื่อเปิดการเจรจาต่อไป

"หลักการของกระทรวงการต่างประเทศที่จะเจรจานั้น ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องยอมรับข้อตกลงนี้ และผลที่ได้จากการเจรจา จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และสอดคล้อง เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง" อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยืนยัน 

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมาเคยเกิดปัญหาการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนลักษณะดังกล่าวกับประเทศมาเลเซีย และก็ได้มีกรอบความร่วมมือร่วมกัน จากการทะเลาะและประวิงการใช้เวลาทรัพยากรร่วมกัน จึงเป็นพื้นในการแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน 50:50 ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศไทยทำสำเร็จมาแล้ว และจะใช้แนวทางนี้ได้กับประเทศกัมพูชา

ทั้งนี้ OCA เกิดขึ้น จากกรณีที่มีการประกาศอ้างสิทธิพื้นที่เขตไหล่ทวีป ซึ่งกัมพูชา ได้มีการประกาศอ้างสิทธิในปี 2515 ทั้งที่มีการเจรจากันตั้งแต่ปี 2513 แล้ว แต่ไทยไม่สามารถยอมรับการอ้างสิทธิดังกล่าวได้ เพราะเส้นผ่านไปที่เกาะกูดของประเทศไทย ประเทศไทยจึงได้ประกาศอ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปในปี 2516 และรับทราบแล้วว่า จะเป็นการอ้างสิทธิทับซ้อนกัน

ทั้งนี้ ก็เพื่อให้มีการไปเจรจากันต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งประเทศไทย เคยประสบความสำเร็จในการเจรจากับเวียดนาม และมาเลเซียบางส่วนมาแล้ว ทำให้เมื่อมีความชัดเจนเกิดขึ้น ก็สามารถบริหารผลประโยชน์ และทรัพยากรร่วมกันได้ แต่เมื่อการอ้างสิทธิ ที่ต่างฝ่าย ต่างอ้างสิทธิ ทั้ง 2 ฝ่าย ก็ยังไม่มีฝ่ายใดสามารถใช้สิทธิเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น ยิ่งเจรจาได้เร็ว ก็เป็นการเปิดโอกาสให้สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ และทรัพยากรในริเวณดังกล่าวได้

TAGS: #MOU44 #เกาะกูด #แพทองธาร #นายกรัฐมนตรี