พรรคประชาชน ห่วงงบ 68 สร้างหนี้ทำเศรษฐกิจขาลง

พรรคประชาชน ห่วงงบ 68 สร้างหนี้ทำเศรษฐกิจขาลง
พรรคประชาชน ชี้งบ 68 สร้างภาระการคลังในอนาคต จัดเก็บรายได้ขาดประสิทธิภาพ หวั่นเกิดวัฏจักรเศรษฐกิจขาลง ไม่ยอมรีดไขมันส่วนเกิน

วันที่ 3 กันยายน 2567 ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วาระ 2-3 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 4 ว่าด้วยกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวนกว่า 3.752 ล้านล้านบาท โดยแปรญัตติเพื่อขอปรับลดจำนวน 4%

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า การจัดทำงบ 68 กำลังสร้างความเสี่ยงให้รัฐบาลชุดต่อไปจะไม่เหลือพื้นที่ทางการคลังมารองรับวิกฤตใหญ่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในอนาคต ซึ่งตอนนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามแผนการคลังระยะปานกลาง มีการคาดการณ์ว่าปี 2570 สัดส่วนหนี้จะสูงขึ้นถึงร้อยละ 69% เรียกได้ว่านี่เป็นการกู้มาแจกเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่อาจทำให้เราต้องสูญเสียโอกาสเพื่อรองรับวิกฤตและการแก้ปัญหาระยะยาว

ขณะที่การเก็บรายได้ของประเทศ มีปัญหาใหญ่อีกหนึ่งอย่างคือการจัดเก็บรายได้ทางภาษีต่อจีดีพีที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2566 จากเดิมที่ประเทศไทยเคยจัดเก็บรายได้ทางภาษีต่อจีดีพีอยู่ที่ 16% ปัจจุบันลดลงเหลือ 14% สวนทางกับประเทศที่เคยเป็นประเทศระดับรายได้ปานกลางเช่นเดียวกับไทยในอดีต ทุกวันนี้เขาหลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางแล้ว เช่น เกาหลีใต้ ชิลี และอุรุกวัย โดยเฉพาะอุรุกวัย หากเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปี 2562  สัดส่วนรายได้ภาษีเงินได้เพิ่มจาก 1.2 เป็น 6.8% ขณะที่ประเทศไทยเพิ่มจาก 4.3 เป็น 6.1% โดยจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของสัดส่วนจะสูงมากกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกคนทราบดีว่าภาษีการบริโภคหรือภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่ส่งผลกระทบต่อคนจนมากกว่าคนรวย ประเทศที่หลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางไปแล้วมักจะมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษี นี่คือประเด็นสำคัญที่เราจำเป็นต้องพูดถึงส่วนรายได้ของรัฐบาล ไม่สามารถพูดถึงเฉพาะส่วนรายจ่ายเท่านั้น นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2566 สัดส่วนรายได้ภาษีนิติบุคคลต่อจีดีพีของประเทศไทย ยังลดลงต่อเนื่องด้วยจาก 4.4% ในปี 2556 เหลือ 3.6% ในปี 2566

ตัวเลขทั้งหมดนี้ สะท้อนปัญหาการขาดพื้นที่ทางการคลัง อีกมุมหนึ่งคือการจัดเก็บรายได้ที่ขาดประสิทธิภาพ ทำให้ไม่มีเงินมาจัดทำสวัสดิการหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะส่งต่อไปเป็นฐานของเศรษฐกิจแห่งอนาคตได้ 

“เราไม่มีการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่ใช้วิธีกู้มากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ดังนั้น ผมเป็นห่วงว่ารัฐบาลอาจทำให้เกิดวัฏจักรเศรษฐกิจขาลง จากการกู้มาแจกในระยะสั้น ขาดพื้นที่ทางการคลังในระยะยาว ไม่สามารถสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และรัฐจัดเก็บภาษีได้น้อยลง” ณัฐพงษ์กล่าว

หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวต่อว่า วิธีแก้ปัญหาคือการปฏิรูประบบภาษีพร้อมกับการปฏิรูประบบงบประมาณ ต้องทำทั้งฝั่งรายได้และรายจ่ายไปพร้อมกัน ในส่วนรายได้นั้น จะทำอย่างไรให้เกิดการจัดเก็บภาษีอย่างยุติธรรม เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพี ลดความเหลื่อมล้ำ พุ่งเป้าเก็บที่คน 1% ของประเทศในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น ภาษีที่ดินรวมแปลง เพื่อมากระจายทำสวัสดิการให้ประชาชน พัฒนาต้นทุนมนุษย์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างเป็นรายได้ระยะยาวของประเทศ ทำให้เป็นวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นกลับมา

ในส่วนรายจ่าย สิ่งที่พวกเราอยากตั้งคำถามไปยังรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงรัฐบาลชุดหน้าที่กำลังจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เราอยากเห็นการลดรายจ่ายประจำ ทำอย่างไรให้มั่นใจได้ว่าหากต้องกู้แล้วจะไม่ได้กู้มาแจกอย่างเดียว แต่กู้มาเพื่อ Reskill-Upskill พัฒนาต้นทุนมนุษย์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 

ด้าน ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยผู้ขอสงวนความเห็น ได้อภิปรายเปิดในภาพรวมถึงปัญหาการจัดเก็บรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และเหตุผลที่ควรมีการปรับลดงบประมาณลงราว 2 แสนล้านบาท เหลือ 3.5 ล้านบาทเศษ

ศิริกัญญาเริ่มต้นการอภิปราย โดยยกข้อมูล 5 อันดับกระทรวงที่มีการปรับลดงบประมาณสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการคลัง, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักนายกรัฐมนตรี และ กระทรวงกลาโหม รวมแล้วตัดได้ราว 4 หมื่นล้านบาท

 

แต่ปัญหาก็คือการปรับลดงบประมาณครั้งนี้ มีส่วนที่ไม่ควรตัดก็ไปตัด เช่น รัฐวิสาหกิจ ซึ่งหลายรายการเป็นงบประมาณที่ต้องใช้ชำระหนี้จากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ขณะเดียวกันก็ยังมีส่วนที่เป็นไขมันส่วนเกินที่ยังรีดได้อีกเยอะมากแต่ไม่ถูดตัดไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่ซ้ำซ้อน ไม่สมเหตุสมผล ยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ยังมีไขมันที่แทรกซึม มีโครงสร้างที่ปรับเปลี่ยนได้ 

ศิริกัญญาอภิปรายต่อไปว่า ยังมีความจำเป็นต้องปรับลดงบประมาณลง เนื่องจากประเทศไม่ได้มีความสามารถหรือกำลังมาก พอใช้จ่ายเงินถึง 3.7 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการประมาณการรายได้ของปี 2568 ซึ่งถูกประมาณการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 วันนั้นมีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 3.6 ล้านล้านบาท ประมาณรายได้น่าจะจัดเก็บได้ 2.887 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตถึง 3.2% และมีการประมาณการหนี้สาธารณะไว้ราว 63% 

แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากเดือนธันวาคม 2566 มาถึงเดือนพฤษภาคม 2567 ที่มีการตั้งงบประมาณขาดดุลจนเกือบชนเพดาน เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 3.2% ลดลงมาเหลือเพียง 2.5% ย่อมส่งผลกระทบกับการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลโดยตรง อีกทั้งหนี้สาธารณะปี 2567 ยังสูงขึ้นไปกว่าการคาดการณ์เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ที่ 62.7% กลายเป็น 65.7% และมีการคาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะปี 2568 จะเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 2% 

ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า แม้เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงแต่งบประมาณปี 2568 กลับไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะประมาณการรายได้ และยังมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น กรมสรรพสามิต ที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2567 ว่าจะจัดเก็บรายได้ได้เกือบ 6 แสนล้านบาท พอเก็บจริงกลับเก็บได้ไม่เกิน 5.3 แสนล้านบาท หลุดเป้าหมายไปเกือบ 7 หมื่นล้านบาท เนื่องมาจากมีการปรับลดภาษีน้ำมันช่วยเหลือค่าครองชีพ การปรับลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า และภาษีบุหรี่ที่จัดเก็บพลาดเป้าไปเกือบ 1 หมื่นล้านบาท

มาถึงปี 2568 มีการตั้งเป้าไว้อย่างท้าทายว่า จะจัดเก็บรายได้ได้ 6 แสนล้านบาทเศษ แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะจัดเก็บได้ตามเป้า เพราะนโยบายภาษีรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง ส่วนภาษีบุหรี่ก็ไม่มีการปรับปรุงนโยบายแต่อย่างไร ดังนั้นเพื่อความระมัดระวังและการรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคตได้ จึงขอปรับลดงบประมาณปี 2568 ลงราว 2 แสนล้านบาท เหลือ 3.5 ล้านล้านบาท

TAGS: #พรรคประชาชน