โดย...สมาน สุดโต
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงแต่งตั้ง ออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) เป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศส เมื่อพ.ศ 2229 หรือ ค.ศ 1686 ถ้านับถึงปัจจุบัน ก็ผ่านมาแล้ว 338 ปี
(ผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้เข้ากับบรรยากาศโอลิมปิก เกมส์ 2024 ที่ปารีส)
ผู้ที่ร่วมคณะท่านโกษาปาน ได้แก่ออกหลวงกัลยาราชไมตรี (อุปทูต) และออกขุนศรีวิวารวาจา (ตรีทูต) มีบาทหลวงเดอ ลิยอนน์ ชาวฝรั่งเศสเป็นล่าม โดยเดินทางร่วมกับคณะ เซอร์วาลิเยร์ เดอ โชมงต์ ราชทูตฝรั่งเศส ที่เสร็จภารกิจทางการทูตกับราชสำนักสยามแล้วออกเดินทางจากสยามกลับประเทศฝรั่งเศส
การเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ได้รับการบันทึกโดย ฌอง ดอนโน วิเช นักเขียน นักประวัติศาสตร์ และนักเขียนบทละครประจำราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ท่านผู้นี้ได้บันทึกทุกเรื่อง ทุกสถานที่ นับตั้งแต่ คณะราชทูตเดินทางถึงเมือง แบรสต์เมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ 1686 หรือพ.ศ 2229
จนกระทั่งกลับสยามเมื่อเดือนกันยายน 2230 หรือ 1687
การเดินทางกลับสยาม มีท่านเดอ ลา ลูแบร์ และโคลด เซเบเรต์ ราชทูตพิเศษกับคณะบาทหลวง เยซูอิตและกองทหารจำนวนหนึ่ง ออกเดินทางมาในคราวเดียวกัน เพื่อเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระนารายณ์แห่งสยาม
ฌอง ดอนโน วิเช รวบรวมเรียบเรียงเรื่องเดินทางของราชทูตไทย ในฝรั่งเศส จนกระทั่งเดินทางกลับสยามเป็นหนังสือชุดหนึ่ง ตีพิมพ์ ที่สำนักพิมพ์ เลอ แมร์ กูร์ กาล็องต์ ค.ศ.1686
ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 เจษฎาจารย์ ฟ .ฮีแลร์ ปูชนียบุคคล ของรร.อัสสัมชัน แปลเป็นภาษาไทย
ล่าสุด พศ. 2566 กรมศิลปากร จัดรวบรวมและแปลให้สมบูรณ์ พิมพ์แบ่งเป็น 4 ภาคชื่อว่า "จดหมายเหตุ เดอ วิเช ว่าด้วยการเดินทาง ขอคณะราชทูตสยาม ในราชอาณาจักรฝรั่งเศส เมื่อค.ศ 1686"
กรมศิลปากรพิมพ๋เผยแพร่พ.ศ 2566 จำนวน 1000 ชุด
(ขอเริ่มว่า) เมื่อถึงกรุงปารีส ท่านโกษาปานไปไหน
ก่อนเข้าเฝ้า เจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์
วันหนึ่งผู้แทนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้นำคณะท่านราชทูต ไปชมขบวนแห่ฉลองพระแม่มารีนิรมล ประจำปีที่โบสถ์ โนเตรอดาม ถ้าไม่ได้ไปดูในวันนั้นแล้ว แปลว่าจะไม่ได้เห็นอีกเลย เพราะมีเพียงปีละครั้ง จึงตกลงกันให้ท่านเจ้าคณะแห่งโบสถ์เป็นผู้จัดการเรื่องนี้ โดยนำคณะราชทูตไปที่โบสถ์ก่อนพิธีแห่จะเริ่มต้น คณะผู้ต้อนรับ เตรียมห้องน้ำชาไว้ แต่ไม่สามารถจะเข้าไปได้เพราะคนมาก จึงต้องมุ่งหน้าไปที่โบสถ์เลยทีเดียว
ผู้เขียน ได้บรรยายว่า ท่านราชทูตประทับใจ และให้ความสนใจ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ การแต่งกายของคณะกรรมการ เครื่องประดับตกแต่งภายในโบสถ์ การบรรเลงเพลง การสวด ซึ่งราชทูตสนใจสอบถามก็ได้รับคำตอบและอธิบายจนเข้าใจ
ก่อนจะ กลับจากโบสถ์ ท่านราชทูต กับคณะก็พากันไปคุกเข่าหน้าพระแท่นศักดิ์สิทธิ์พระแม่มารีนิรมล ได้กล่าวว่า วันนี้รู้สึกปลื้มใจเป็นล้นพ้น ที่ได้มาพบเห็นพิธีสำคัญสำคัญ
การประกอบพิธีและการสวดของพระเดชพระคุณและสังฆราช ไม่เพียงแต่ใคร่จะอยู่ฟังต่อ หากพระเดชพระคุณจะเริ่มสวดอีกครั้งหรือแม้แต่จะสวดสักกี่ครั้งต่อวัน ก็ปรารถนาจะเข้าร่วมในที่ชุมนุมด้วยทุกครั้งไป และด้วยความยินดี ยิ่งนัก
อนึ่งท่านราชทูตมีควรมจงรักภักดีในพระเจ้าเหนือหัว และเคารพพระรัตนตรัย จะเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่เดินผ่านพระราชสาส์น ที่อัญเชิญไว้บนที่สูง ท่านราชทูต จะต้องแสดงความเคารพ แล้วเดินผ่าน
ส่วนการเคารพพระรัตนตรัยนั้น ทุกวันจะต้องกราบพระสม่ำเสมอ ท่านมีความสำรวมกาย สำรวมใจและทำภาวนา ไตร่ตรองหลักสำคัญสำคัญของคำสอนทางพระพุทธศาสนาเสมอ
ขณะที่เดินทางไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ นั้น ท่านเดอลาเฟอยยาด ที่ทำหน้าที่ได้มีการวิสาสะ เกี่ยวกับเรื่องศาสนาของชาวสยาม ซึ่งท่านเดอลา เฟอยยาด อยากได้ความกระจ่าง ท่านราชทูตให้คำตอบอย่างหลักแหลมว่า "ยามเมื่อกล่าวถึงศาสนา ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักก็จะทำให้คนให้ไม่รู้จักศาสนานั้นๆ รู้สึกว่าไม่เข้าเรื่องไม่ควรเลื่อมใส โดยคนที่นับถือศาสนาอื่น มักจะเชื่อแต่ข้อศาสนาที่ตัวศรัทธานับถือติดตัวมาแต่กำเนิดว่าเป็นเลิศเป็นที่สุด ดังนั้นถ้าจะสนทนากันให้ละเอียดลึกซึ้ง ก็ต้องใช้เวลา และต้องมีความรอบรู้เชี่ยวชาญมากขึ้น ซึ่งทีานราชทูตไม่อาจสนองตอบได้ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า เรื่อง ที่เป็นจริงแท้กลับไม่มีสาระและดูไม่จริงไม่น่าเชื่อถือไปเสีย"
จากนั้นท่านราชทูตได้อธิบายหลักใหญ่ใจความของพุทธศาสนาอย่างที่ข้าพเจ้าได้เคยบรรยายไว้แล้วโดยระบุว่ามีอยู่ 3 ประการอันได้แก่ การรักศัตรู ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการเกรงกลัวต่อบาป
ก่อนเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 คณะราชทูตต้องผ่านหมู่พระตำหนัก โดยเจ้าพนักงานได้ชี้ให้ดูว่าเป็นพระตำหนักของใครเป็นใคร
ท่านราชทูตว่าเราไม่เห็นเป็นที่อัศจรรย์อันใดที่ได้เห็นพระตำหนักที่พักอันงดงามเช่นนี้ในบ้านเมืองของพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์ผู้ทรงมีพระนามขจรขจายได้นำพาพระราชอาณาจักรให้เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้
เป็นการพูดคุยอย่างเฉียบแหลมของท่านราชทูตจนขบวนรถเคลื่อนเข้าสู่ถนนสายใหญ่ที่จะนำไปสู่พระราชวังแวร์ซายส์ก่อนเข้าเฝ้านั้นมีทหารรักษาพระองค์ชาวฝรั่งเศสและสวิสตั้งแถวต้อนรับอย่างสมเกียรติ
ขณะที่นั่งรอเข้าเฝ้า เจ้าหน้าที่นำหมวกลอมพอก ประดับทอง งามตระการตาไปให้ช่างทองประจำราชสำนักชม ช่างทองยกหมวกขึ้นมาดู แล้วบอกว่าเบาดีจังท่านราชทูตตอบว่า "ก็เป็นหมวกที่สั่งทำให้คนเขาใส่ หากทำหนักกว่า นี้เห็นทีจะต้องส่งให้สัตว์สวมเป็นแน่"
เดอ วิเช บรรยายการเข้าเฝ้าของราชทูต ณ ที่ประทับบนบัลังก์สูงว่าราชทูตในเครื่องแบบเต็มยศ กราบถวายบังคม 3 ครั้งโดยมีขุนนางฝรั่งเศส 1,500 คนยืนแถวถวายเกียรติยศ
ส่วนคณะราชทูตเมื่อเข้าถวายบังคมแล้ว ก้มหน้าแตะพื้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้มีพระราชานุญาตให้เงยหน้า (ธรรมเนียมสยาม)
เมื่อพระองค์ทรงทราบธรรมเนียมสยามดังนี้ พระองค์ตรัสว่า" นี่ได้อุตส่าห์เดินทางรอนแรมมาไกลนักหนาจึงพึงควรให้เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ได้"
ท่านราชทูตไปเยี่ยมหลายที่หลายแห่ง และแสดงวาทะ คารมคมคาย จนเป็นที่กล่าวขวัญของบุคคลชั้นสูงว่า ฉลาดหลักแหลม บางวันมีคณะขอมาเยี่ยม ณ ที่พัก ถึง 20 คณะและกลับไปด้วยความปลาบปลื้มทุกคนทุกคณะ