โดย...สมาน สุดโต
วัดบวรนิเวศวิหาร เปิดพิพิธภัณฑ์ ของวัด ให้ประชาชนชมพระกริ่งปวเรศ รวมทั้งทรัพย์สินและของศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถพบเห็นที่อื่นๆได้ ระหว่าง วันที่ 20 ถึง 29 กรกฎาคม 2567 โดยใช้คำเชิญชวนว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิต"
พิพิธภัณฑ์วัดบวรฯ ตั้งที่อาคาร ภปร.ติดกับตำหนักเพชร และตำหนักจันทน์
เป็นอาคาร 3 ชั้น แต่ละชั้น จัดตั้งของถวายสงฆ์ที่ประเมินค่ามิได้ ให้ชมฟรี
และการจะชม พระกริ่งปวเรศต้องขึ้นชั้น 3 ถ้าขึ้นลงบันไดลำบาก ใหัขึ้นลิฟท์สะดวกดี
พระกริ่งที่นำมาจัดแสดงเป็น Original ที่ประชาชนคนสามัญต้องการชมมาก
แต่การชมไม่สะดวก เนื่องจากพระกริ่งปวเรศกับพระสำคัญประจำวัดที่มีคุณค่าอื่นๆ อีกหลายองค์ จัดตั้งไว้ในห้องมหัคฆภัณฑ์ ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ดีงนี้นการดูพระกริ่งต้องมองผ่านกระจกนิรภัยและ ตะแกรงเหล็กที่มีตาถี่ๆเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถเห็นได้ชัด เนื่องจากพระกริ่งมีขนาดเล็กและถูกเก๋งจีนที่มีขนาดเล็กครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง
แต่ด้วยความกรุณาของวัด จึงถ่ายรูป พระกริ่งปวเรศ ทั้งด้านหน้า ด้านหลังและด้านข้าง ขยายใหญ่ พร้อมทั้งบล๊อกหรือแม่พิมพ์มาตั้งไว้ที่หน้าห้องมหัคฆภัณฑ์เพื่อให้เห็น(รูปถ่าย)กันชัดๆ
พระกริ่งปวเรศ สร้างโดยสมเด็จพระมหานมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ ์สมเด็จพระสังงฆราชพระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร
พระองค์มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าฤกษ์ เป็นพระโอรสองค์ที่ 18 ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์(ในรัชกาลที่ 2 )ประสูติเมื่อวัน ที่ 18 กันยายน พ.ศ 2352
เมื่อผนวช พ.ศ 2373 ในรัชกาลที่ 3 ตรงกับเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระสงฆ์ธรรมยุตขึ้นที่วัดราชาธิวาส จึงโปรดให้สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์อุปสมบทซ้ำในสีมาน้ำ หน้าวัดราชาธิวาส
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลาผนวชและเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 4 กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จึงครองวัดบวรนิเวศ ในลำดับต่อมา
และ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ 2435 สิริพระชนมายุ 83 พรรษา
ผนวชได้ 64 พรรษา
"พระกริ่งปวเรศ"
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ นอกจากจะทรงดำรงตำแหน่งมหาสังฆปรินายกแล้วยังมีพระเกียรติคุณสูงส่งในทางสร้างพระเครื่องด้วย
พระเครื่องที่ทรงสร้าง ซึ่งผู้คนทั้งหลายนิยมเรียกกันว่า "พระกริ่งปวเรศ" นั้นทรงสร้างเพียง 30 องค์ ปัจจุบันหาได้ยาก เพราะมีผู้นิยมนับถือกันว่า เป็นพระกริ่งที่ทรงคุณวิเศษหลายประการ ท่านที่ครอบครอง จุงไม่ปล่อยออกง่ายๆ
เรื่องดังกล่าวนี้ คุณสันทัดกรณีย์ ผู้เขียนประวัติ 17 สมเด็จพระสังฆราช (พิมพ์ พ.ศ 2516 โดยสำนักพิมพ์คลังวิทยา)อ้างข้อเขียน พินัย ศักดิ์เสนีย์ ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเครื่องรางของขลังว่า
พระกริ่งปวเรศนี้ พระองค์ทรงสร้างตามแบบพระกริ่งพระปทุม ของราชวงศ์กัมพูชา ที่ได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของสมเก็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในขณะที่ราชวงศ์กัมพูชาก็ดี ชาวกัมพูชา ที่อยู่ในกรุงเทพฯ สมัยนั้นก็ดี เลื่อมใสในพระราชอัธยาศัยสมเด็จพระยาปวเรศฯ จึงได้พร้อมกันอาราธนาให้ทรงสร้างพระปฏิมากรขนาดเล็ก เหมือนกับพระปทุมสุริวงศ์ปฐมมหาราชวงศ์ของกัมพูชา ที่สร้างพระกริ่งพระปทุมขึ้นมาแต่ครั้ง โบราณ (ส่วนพระวิทยากรของวัดบวรนิเวศอธิบายว่าพระกริ่งปวเรศ ได้แบบจากกริ่งอุบาเก็งของจีน)
การสร้างพระปฏิมากรเล็ก ตามคำอาราธนาของเจ้ากัมพูชา มีเจ้านายไทยและวงญาติของสมเด็จกรมพระยาปวเรศ ฯโดยเสด็จพระกุศลในการสร้างด้วย
พินัย ศักดิ์เสนีย์ เล่าว่าองค์พระกริ่งปวเรศ เป็นพระนั่งขัดสมาธิเพชร หงายฝ่าพระหัตถ์ทางด้านซ้ายวางไว้บนตักพระหัตถ์ขวาวางไว้ที่พระเพลา ปลายนิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พระธรณี ลักษณะนี้เรียกกันทั่วไปว่า ปางมารวิชัย
องค์พระประทับนั่งบนบัลบังก์บัวหงายและบัวคว่ำ 8 กลีบ (ด้านหลัง 1 กลีบ) ลักษณะองค์พระผสมทองสัมฤทธิ์ ผิวดำ สร้าง 2 คราวและอุดก้นด้วยทองเหลืองทั้งสองคราว
ส่วนลูกกริ่งในองค์พระนั้น ได้จารึกนามพระพุทธเจ้าในอดีตลงในแผ่นโลหะ แล้วหล่อหลอมลงในน้ำมนต์ จึงเป็นลูกกริ่งที่มีนามพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์
พระกริ่งปวเรศนั้นถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงโปรดฯให้ใช้น้ำพระพุทธมนต์ ที่มีพระกริ่งของพระองค์ท่าน(ประกอบ) ตั้งไว้ในพระราชพิธีมุรธาภิเษกเป็นประจำ