“สุทิน” ยังไม่ถึงขั้นยกระดับเข้มข้นชายแดนไทย-เมียนมา ประสานงานผ่าน กต. ตามปกติ ชี้การสู้รบไม่ได้เป็นตามข่าวเสมอไป แจงไม่ได้ร่วมประชุมกับนายกฯ เพราะเน้นระดับปฏิบัติงาน
นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา และเครื่องบินเมียนมาขอลงจอดที่สนามแม่สอด สรุปแล้วรับคนหรือรับสิ่งของ เพราะสังคมยังสงสัยว่า เรื่องนี้หน่วยงานหลักคือ กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งดูแลสั่งการอยู่แล้ว ส่วนกระทรวงกลาโหมติดตามอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการขอเครื่องบินมาลงจอด ต้องผ่านกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่นั้น นายสุทิน กล่าวว่า อาจจะผ่านในระดับอื่น ซึ่งวันนี้จะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง แต่เท่าที่ฟังแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ เราแสดงจุดยืนไปว่าทั้งกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ต้องยึดมั่นในมติของอาเซียนอย่างเคร่งครัด
ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้การทำงานในระดับทหารในพื้นที่ ลำบากมากขึ้นหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เชื่อว่าทำความเข้าใจกันได้ ว่าถ้าเรายังยืนอยู่ในกรอบมติอาเซียน
ส่วนการประชุมในช่วงเช้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ได้เข้าร่วมประชุม นายสุทิน กล่าวว่า เป็นการประชุมอีกระดับ โดยเป็นระดับผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่ประชุมสภากลาโหม ยืนยันว่าการประชุมแบบความมั่นคงแบบนี้ ดติว่าการกระทรวงกลาโหมไม่จำเป็นต้องเข้าทุกครั้ง และไม่ถือเป็นเรื่องใหม่ แต่นายกฯ ก็ได้แจ้งให้ตนทราบ ซึ่งตนก็บอกว่าจะส่งผู้บัญชาการเหล่าทัพไปร่วมประชุม
ส่วนหลังประชุม กองทัพไทย จะต้องแถลงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ก็ไม่ถึงขั้นต้องแถลง แต่ต้องบอกข้อเท็จจริงให้สังคมเข้าใจ
นายสุทิน ยังระบุต่อว่า สถานการณ์สู้รบในเมียนมา ตอนนี้ที่มีข่าวรัฐบาลกลางพ่ายแพ้ให้กับชนกลุ่มน้อยในหลายเมือง ถ้าสงครามหนักขึ้น ก็กระทบชายแดนหนักขึ้น ดังนั้นถ้าเปลี่ยนแปลงไปทางใดทางหนึ่งก็กระทบอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้แหล่งข่าวของตนได้วิเคราะห์ให้ฟังว่า เรื่องจริงไม่ใช่อย่างที่เรารู้ หรือเป็นข่าวเสมอไป ทั้งนี้ตามแนวชายแดนมีการเตรียมพร้อมตลอดเวลา พร้อมทุกสถานการณ์ ไม่ต้องห่วง
ส่วนที่ฝ่ายค้านเป็นห่วงว่านานาชาติมองไทยเลือกข้างอยู่ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมา นายสุทิน กล่าวว่า เราอธิบายต่างชาติได้ว่าเรายึดกรอบอาเซียน ถ้าเราไม่ยึดตรงไหนให้ท้วงติงมาได้
ในขณะที่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ควรมีการประสานกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่ นายสุทิน ยังย้ำคำเดิมว่า ถ้าไม่ใช่ระดับสถานการณ์ที่เร่งด่วน หรือต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ก็ไม่ต้องถึงกระทรวงกลาโหม โดยสถานการณ์ชายแดนปัจจุบันถือว่าปกติอยู่ ไม่ถึงขั้นต้องยกระดับความเข้มข้น เพียงแต่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และวิเคราะห์ให้ละเอียดขึ้น