GULF เผยบ.ย่อย "กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี"ลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ระยะเวลา 25 ปี จำนวน 12 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 649.31 MW
ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพื่อลดอัตราค่าไฟฟ้าและ มุ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ดำเนินการประกาศรับซื้อไฟฟ้าตามระเบียบว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565–2573 สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง
ซึ่งกลุ่มบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้ยื่นข้อเสนอตามระเบียบว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว และได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนนั้นบริษัทฯขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 กลุ่มบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 100ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(Power Purchase Agreement)กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) เป็นระยะเวลา25 ปี เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems)จำนวนรวม 12 โครงการ (“โครงการฯ”) มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 649.31เมกะวัตต์และมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2567 – 2568 ซึ่งโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms)และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) มีอัตราจำหน่ายไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 2.1679 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงและ2.8331 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ตามลำดับตลอดอายุสัญญาซึ่งการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ จะช่วยลดความผันผวนจากราคาเชื้อเพลิง และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมให้ได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำตลอดอายุสัญญา เนื่องจากโครงการฯ มีต้นทุนผลิตไฟฟ้าที่ต่ำกว่าราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปัจจุบันการพัฒนา
โครงการดังกล่าวข้างต้นเป็นไปตามแผนของบริษัทฯ ที่จะมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ภายในปี 2578 โดยในอนาคตจะมีการทยอยลงนามสัญญาเพิ่มเติมสำหรับโครงการที่มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2569 – 2573 ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมในการพัฒนาโครงการฯ บริษัทฯ จะแจ้งรายละเอียดให้ทราบต่อไป