‘อีสท์สปริง’ มองการเมืองชัด หนุนศก.และตลาดหุ้นไทย คาดสิ้นปีนี้ดัชนีฯ อยู่ที่ 1,590-1,620 จุด พร้อมตั้งเป้า AUM แตะ 3.8 แสนล้าน ภายในสิ้นปีนี้
ดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าภายในสิ้นปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ (Asset Under Management หรือAUM) แตะ 380,000 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อนที่ทำได้ 360,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตแบบออแกนิกโกรสโดยจะมาจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่คาดว่าสิ้นปีนี่จะอยู่ที่ 63,000 ล้านบาท โต 13% จากปีก่อน 57,000 ล้านบาท และมาจากกองทุนรวมส่วนบุคคล (private fund ) ที่คาดว่าจะแตะ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อน 8,000 ล้านบาท
ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปีนี้ มี 3 แนวทาง คือ 1) มุ่งเน้นการสร้างทางเลือก พร้อมกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีให้กับผู้ที่ประสงค์จะมีอิสระทางการเงินหลังเกษียณ ด้วยทางเลือกที่หลากหลาย และมีคุณภาพ รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการจัดการพอร์ตการลงทุนได้ตามความต้องการผ่าน FundLink Online และ FundLink M Choice
2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็น Best in Class แล้ว บริษัทฯ ยังเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผสานประโยชน์ของกองทุนรวมและประกันเข้าไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด เพื่อเป็นทางเลือกและส่วนประกอบในพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
3) การนำระบบงานด้านการจัดการลงทุนชั้นนำของโลกเข้ามาใช้ในประเทศไทย โดยเป็นระบบที่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยง ตลอดจนประเมินแหล่งที่มาของผลตอบแทน (Attribution Analysis) บน One Single Platform เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุด ในการบริหารกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล
ด้าน ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวแต่อาจไม่ถึงกับถดถอยขณะที่เศรษฐกิจจีนถึงแม้จะเติบโตต่ำกว่าที่คาด แต่เริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังเริ่มทยอยออกมาทำให้ภาพของเศรษฐกิจโลกอาจเป็นลักษณะของการชะลอตัว
ในส่วนของเงินเฟ้อที่กดดันธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อในปีนี้เงินเฟ้อเริ่มเห็นการชะลอตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ปีนี้โดยเฉพาะไตรมาส 3 อาจเป็นการจบรอบของดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะฝั่งของสหรัฐฯ และอาจรวมถึงยุโรปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามเราประเมินว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอีกสักระยะ ส่งผลให้การลงทุนยังมีความผันผวน
ด้านบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 ว่า หลังการเมืองมีความขัดเจน ส่งผลให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น รวมถึง fund flow ก็คาดว่าจะไหลกลับเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่เข้ามาประคองภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งจะเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าเศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทยจะไปได้ไกลแค่ไหน
สำหรับตรีมการลงทุนปลายปีนี้ มองมี 4 ตรีมด้วยกันดังนี้
1.กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนหุ้นโลก
2.หุ้นที่อิงสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ย เช่น หุ้นเทคฯ ที่มองว่าเติบโตค่อนข้างดี
3.หุ้นรับเศรษฐกิจฟื้นตัว หุ้นปัจจัยพื้นฐานแกร่ง
4.หุ้นกลุ่มปลอดภัย เช่น กองทุนรวมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก
สำหรับสิ้นปีนี้ คาดว่าดัชนีฯตลาดหุ้นไทย จะอยู่ 1,590-1,620 จุด และมี P/E อยู่ที่ 17 เท่า ด้าน EPS Growth 90 บาท/หุ้น