วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าว The Better รายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดพิธีลงนามสัญญาบันทึกความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับหน่วยงานสถาบันการเงินไทย โดยได้รับเกียรติจาก คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงานและเป็นประธานในพิธี พร้อมปาฐกถาโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” หวังช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยกล่าวว่า “ปัญหาหนี้ครัวเรือนฝั่งรากลึกในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย แต่ยังฉุดรั้งชีวิตคนไทยไม่ให้ไปต่อได้ รัฐบาลจึงมีมาตรการ “Quick Big Win” ซึ่งถือเป็นโครงการเรือธงที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น-กลาง-ยาว และช่วยลดภาระหนี้ของประชาชน ต้องขอขอบคุณความร่วมมือจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย จาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และสถาบันการเงินอีกหลายแห่ง ที่ช่วยขับเคลื่อนโครงการให้สำเร็จลุล่วงได้ รวมถึงโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เตรียมเสนอให้ครม.รับทราบในสัปดาห์หน้า (18 พ.ย.) โดยมุ่งหวังช่วยลูกหนี้รายย่อยไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มียอดหนี้รวมกับทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 100,000 บาท คิดเป็นราว 4,700,000 บัญชี จำนวน 3,400,000 ล้านราย และมีภาระหนี้รวมกว่า 120,000 ล้านบาท โครงการนี้จะไม่ใช่โครงการระยะสั้น หัวใจสำคัญคือ เรามุ่งหวังช่วยชุบชีวิตให้กับลูกหนี้ ให้กลับมามีโอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่ถูกปิดกั้นจากเครดิตบูโร และสามารถเดินหน้าต่อไปได้”
ด้านคุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งกระทบความเป็นอยู่ของประชาชน ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนที่ลดลงมาเหลือ 87% จากเดิม 90% ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่มากพอสมควร ธปท.จึงเปิดตัวโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทยและช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน โดยเตรียมช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และลูกหนี้ Non-Bank ในบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ จำนวน 1,600,000 บัญชี รวม 1,200,000 ราย หรือคิดเป็นภาระหนี้รวม 43,600 ล้านบาท จากเป้าหมายช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่เข้าเกณฑ์เฟสแรกราว 2.36 ล้านบัญชี วงเงินรวม 62,400 ล้านบาท และจากเป้าหมายทั้งโครงการกว่า 3.4 ล้านราย มูลค่าหนี้รวม 1.22 แสนล้านบาท
ทั้งนี้จากยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากประชาชนรายย่อยที่มียอดหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงินราว 4,700,000 บัญชี คิดเป็นจำนวน 3,400,000 ล้านราย หรือคิดเป็นภาระหนี้รวมกว่า 120,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขหนี้เสีย (NPL) กว่า 60% ของหนี้เสียรวมทั้งหมด ซึ่งหากแก้ไขกลุ่มนี้ได้ นอกจากจะช่วยลูกหนี้รายย่อยแล้ว ยังช่วยฟิ้นฟูระบบเศรษฐกิจไทยร่วมด้วย
.jpg)
อย่างไรก็ดีโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว คือ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โดยซื้อหนี้ NPL ออกจากระบบธนาคาร จากวงเงินที่เหลือในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ราว 20,000 ล้านบาท ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้หนี้เสียจะรวมมาอยู่ในที่เดียว และเกิดการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเป็นพิเศษ ตามศักยภาพการชำระหนี้รายบุคคล โดยจะมีการตัดต้น ลดดอกเบี้ย และยืดเวลาชำระหนี้ เพื่อลดภาระหนี้ให้ลูกหนี้กลับมาหายใจได้
คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย (TBA) กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคการเงินไทย เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ ให้สามารถกลับมาตั้งหลักได้ สมาคมธนาคารไทยจึงผลักดันช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องร่วมกับรัฐบาล โดยโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” นี้ มีจุดมุ่งหมายชัดเจน คือ ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพและตั้งใจชำระหนี้ให้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ลดภาระหนี้และปรับประวัติเครดิตบูโรให้ดีขึ้น เพื่อเปิดทางเข้าสู่แหล่งสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ทั้งนี้ในระยะแรกดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ โดยคาดหวังว่าในระยะถัดไป จะพิจารณาขยายความช่วยเหลือไปสู่ลูกหนี้ในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ปัจจุบันยังไม่ได้เป็นสมาชิก NCB ตลอดจนลูกหนี้ Non-Bank อื่น เพื่อให้ความช่วยเหลือครอบคลุมได้มากยิ่งขึ้น”