ก.ล.ต. ลั่น! พร้อมตรวจ บจ. พัวพันสแกมเมอร์ ดึงบทเรียน ‘MORE’ ผุดระบบ SDEP สกัดทุจริต พร้อมลุย 4 ด้าน สร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย

ก.ล.ต. ลั่น! พร้อมตรวจ บจ. พัวพันสแกมเมอร์ ดึงบทเรียน ‘MORE’ ผุดระบบ SDEP สกัดทุจริต พร้อมลุย 4 ด้าน สร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย
สำนักงาน ก.ล.ต. ลุยสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ผ่านการดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ลั่นพร้อมตรวจสอบบจ.พัวพันสแกมเมอร์และการฟอกเงิน พร้อมถอดบทเรียนหุ้น MORE ลุยเทสระบบ SDEP พ.ย.68 นี้

นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยถึงประเด็นสแกมเมอร์ ที่มีกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ กรณีบริษัทจดทะเบียนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ทาง ก.ล.ต.มองว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องชี้แจงให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสแก่นักลงทุนอยู่แล้ว การทุจริตจึงเป็นไปได้ยาก แต่หากพบสิ่งผิดปกติ น่าสงสัย ทางก.ล.ต.สามารถเข้าตรวจสอบได้ทันที ซึ่งหากพบว่าเกิดการทุจริตจริง ก.ล.ต.จะดำเนินการส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าสู่กระบวนการบังคับใช้กฏหมายได้อย่างทันที โดยที่ไม่ต้องมีผู้ร้องเรียนก่อน

ในขณะเดียวกัน ภายหลังเกิดเหตุคดีหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ทาง ก.ล.ต.ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯและหน่วยงานภาคธุรกิจ ได้ถอดบทเรียนพร้อมแก้ไขกฎเกณฑ์ต่างๆให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมถึงเตรียมยกระดับการทำงาน ผ่านระบบ Securities Data Exchange Platform (ระบบ SDEP) หรือ "ซิเคียวริตี้บูโร" เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีช่องทางสำหรับนำส่งข้อมูลวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าระหว่างกัน เบื้องต้นคาดเริ่มทดสอบระบบภายในเดือน พ.ย.นี้และคาดนำมาดำเนินการใช้ระบบจริงช่วง Q1/69 เป็นต้นไป เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ส่วนโครงการ "Tourist Digital Pay Sandbox" ซึ่งเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้สินทรัพย์ดิจิทัลแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศไทยได้โดยตรงผ่าน "Tourist Wallet" ปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลติดต่อเข้ามาปรึกษาและขอคำแนะนำแล้วจำนวน 8 ราย แต่ยังไม่มีการยื่นเข้ามาขอดำเนินการ ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นความชัดเจนพร้อมเริ่มดำเนินการโครงการได้ภายใน Q4/68 นี้ 

นอกจากนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงความคืบหน้าการยกระดับตลาดทุนไทยภายในงาน "Media Briefing ก.ล.ต. พบสื่อมวลชน เดือน ต.ค.68" ผ่านการดำเนินงาน 4 ด้านสำคัญในปี 2568 โดยยังคงมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาด้านการระดมทุน การกำกับดูแลผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน และการบังคับใช้กฎหมาย ดังนี้

1. ยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนและตราสารหนี้

โดย ก.ล.ต. มีแนวคิดในการปรับปรุงหลักเกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญ (Material Transaction: MT) และการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (Related Party Transaction: RPT) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงดูแลสิทธิผู้ลงทุนให้ดีขึ้น โดยไม่สร้างภาระให้กับบริษัทจดทะเบียนมากเกินไป ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุงร่างประกาศและคู่มือตามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเปิดรับฟังความคิดเห็น (ปิดการรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อ 24 ส.ค. 68) โดยคาดว่าประกาศจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2568 และจะมีการจัดอบรมเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทจดทะเบียนและผู้เกี่ยวข้อง ก่อนประกาศมีผลใช้บังคับ วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 

ขณะเดียวกัน ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อยกระดับการจัดทำการวิเคราะห์และคำอธิบายระหว่างกาลของฝ่ายจัดการ (Interim MD&A) เพื่อให้ผู้ลงทุนรับทราบถึงสถานะการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ บจ. และใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็น

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลที่สะท้อนผลการดำเนินงานหรือแนวทางในการเพิ่มมูลค่าและผลประกอบการของบริษัท (Value Up Program) เพื่อเป็นกลไกในการยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งมีกลไกสนับสนุนผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และโครงการ JUMP+ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ มี 2 บริษัทที่ได้ดำเนินการเปิดเผยแผน Corporate Value Up และมีคุณสมบัติเป็นหลักทรัพย์ที่ Thai ESG หรือ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ และมีมากกว่า 90 บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล (ณ 19 ก.ย. 68)

 2. การเสริมธรรมาภิบาลและมาตรฐานของผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน

ก.ล.ต. เสนอแก้กฎหมายกำหนดหน้าที่ให้ผู้บริหารและกรรมการบริษัทจดทะเบียนรายงานการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์ (Share Pledging) ในจำนวนที่มีนัยสำคัญ เช่น การนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันจำนำ หรือโอนหุ้นให้ custodian ถือแทน เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่สำคัญ ครบถ้วน และเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการออกกฎหมาย อีกทั้ง ได้กำหนด “6 มาตรฐานองค์ความรู้กรรมการไทย” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อส่งเสริมให้กรรมการบริษัทจดทะเบียนมีความรู้ เข้าใจบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมถึงมีการพัฒนาวิชาชีพผู้ตรวจสอบภายใน (IA) การยกระดับการกำกับดูแลและการปฏิบัติงานของที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) รวมถึงการเสนอแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. กำกับดูแลผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน (gatekeeper) เช่น ผู้สอบบัญชี สำนักงานสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และบริษัทจัดอันดับเครดิต ซึ่งอยู่ในกระบวนการแก้ไขกฎหมาย

นอกจากนี้ ได้จัดทำโครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อให้เป็นฟินฟลูเอนเซอร์ที่นำเสนอข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน ยังมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้การกำกับดูแลมีความครอบคลุม เหมาะสม และสอดคล้องกับการโฆษณารูปแบบใหม่ ๆ รวมทั้งสนับสนุนการโฆษณาอย่างมีความรับผิดชอบ

 3. เพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขายหลักทรัพย์และลดความเสี่ยงในตลาด

ก.ล.ต. ยังคงติดตามและประเมินผลมาตรการดูแล Short Selling และ Program Trading ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ (16 เมษายน 2568) รวมถึงอยู่ระหว่างปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและการกำกับดูแลการขายชอร์ต โดยให้ผู้ลงทุนที่ไม่ส่งคำสั่งขายชอร์ตตามเกณฑ์ที่กำหนดมีความรับผิดตามกฎหมาย รวมทั้งเพิ่มกลไกให้สามารถติดตามผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (End-Beneficial Owner) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจบัญชีแบบไม่เปิดเผยชื่อ (Omnibus Account)

ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) รับคำสั่งขายชอร์ตของลูกค้าที่ยืนยันการจัดหาแหล่งยืมหุ้น (locate) เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดย บล. จะรับคำสั่งขายชอร์ตจากลูกค้าที่ขอยืนยันการ locate จาก บล. ได้ เฉพาะเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ตลอดจนหลักเกณฑ์การให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (margin loan) ของบริษัทหลักทรัพย์และการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยได้ปรับลดการปล่อยกู้ margin loan ลงเหลือไม่เกิน 4 เท่า ของส่วนผู้ถือหุ้น จากเดิมที่กำหนดไม่ให้เกิน 5 เท่า ของส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อให้มีการกำกับดูแลการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์อย่างเหมาะสม และลดความเสี่ยงต่อ บล. 

ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและเพียงพอต่อการนำไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินให้แก่ลูกค้าอย่างเหมาะสมต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบข้อมูลลูกค้าระหว่างกันในการกำหนดและทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ และสนับสนุนให้มี Securities Data Exchange Platform (ระบบ SDEP) เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีช่องทางสำหรับนำส่งข้อมูลลูกค้าระหว่างกัน 

4.การบังคับใช้กฎหมาย 

การเสนอแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มีผลกระทบสูง (high impact) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดี โดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high impact รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งจะเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย โดยประสานความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และนำเทคโนโลยีมาช่วยในการดำเนินการ (SupTech) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเชื่อมั่น โปร่งใสเป็นธรรมให้กับตลาดทุน โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ ในการตรวจจับ การกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ด้วยข้อมูล AI และเทคโนโลยี  

TAGS: #ก.ล.ต. #ตลท. #สแกรมเมอร์ #MORE #หุ้น #การลงทุน #SDEP #ผู้ประกอบการ #บริษัทหลักทรัพย์ #ตลาดทุนไทย #หุ้นไทย