“กิติพงศ์” ชี้ทางรอดธุรกิจครอบครัว กำลังสำคัญของตลาดทุนไทย! พร้อมชู 8 แนวทาง Transform สู่ยุคดิจิทัล

“กิติพงศ์” ชี้ทางรอดธุรกิจครอบครัว กำลังสำคัญของตลาดทุนไทย! พร้อมชู 8 แนวทาง Transform สู่ยุคดิจิทัล
“กิติพงศ์” ชี้! บทบาทสำคัญของธุรกิจครอบครัวต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทย พร้อมเปิด 8 แนวทาง Transform ธุรกิจสู่ยุค AI ผลักดันศักยภาพธุรกิจครอบครัวสู่กำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย

ศาสตราจารย์ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมเปิดพิธีและกล่าวถึงแนวทาง “พลิกอนาคตธุรกิจครอบครัวให้โตอย่างยั่งยืน” ในงานสัมมนา SET Family Business Conference 2025 เปิดเผยว่า ธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสูงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทย โดยปัจจุบัน 80% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศไทยเป็นธุรกิจครอบครัวที่มีขนาดกลางและขนาดย่อม และเมื่อศึกษาบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” (family business) จากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568  จำนวน 850 บริษัท พบว่า ธุรกิจครอบครัวมีจำนวน 646 บริษัท คิดเป็น 76% หรือ 3 ใน 4 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมูลค่าตลาดรวม (Market Cap.) 6.11 ล้านล้านบาท คิดเป็น 48% ของมูลค่าตามราคาตลาดรวม (Market Cap.) 12.66 ล้านล้านบาท และมีการจ้างงานรวมถึง 1.48 ล้านอัตรา หรือคิดเป็น 74% ของการจ้างงานรวมของทุกบริษัทจดทะเบียนฯ

อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวทั้ง 646 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 473 บริษัท หรือ 73% และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 173 บริษัท หรือ 27% ซึ่งมีหลากหลายขนาดและเป็นองค์ประกอบของดัชนีต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตารางที่ 1 และตารางที่ 2)

รวมถึงหากพิจารณาตามรายชื่อหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ ประกอบดัชนีต่างๆ ตามตารางที่ 2 พบว่า บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ในทุกดัชนี และ จำนวนบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนสูงกว่า 60% ของทุกดัชนี

โดยบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่ พัฒนามาจากธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลหรือเป็นธุรกิจจัด ตั้งใหม่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจและกระจายตัวอยู่ใน ทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและ สาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร หมวดการแพทย์ หมวด บริการรับเหมาก่อสร้าง และในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

เมื่อพิจารณาความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวจากอายุกิจการ นับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน (ปี 2568)  พบว่า ธุรกิจครอบครัวในบริษัทจดทะเบียนมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36 ปี โดยบริษัทจดทะเบียนที่มีอายุนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันมีอายุกิจการยาวนานที่สุดถึง 149 ปี หรือประมาณ 3 เท่าของอายุของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงพบว่า ธุรกิจครอบครัวดำเนินการต่อเนื่องด้วยเงินทุนส่วนตัวและสินเชื่อก่อนเข้าตลาดทุนเพื่อขยายกิจการ

ทำอย่างไรให้ธุรกิจครอบครัว ไม่ล่มสลายในรุ่น 3 ?

ด้านศาสตราจารย์ กิติพงศ์ กล่าวว่า “ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนปรับโครงสร้าง องค์กร ควบรวมกิจการ หรือแลกหุ้นเป็นบริษัทใหม่ และมีการเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น ส่งผลให้วันก่อตั้ง และจดทะเบียนเป็นไปตามบริษัทใหม่ ทำให้อายุน้อย กว่าระยะเวลาดำเนินงานจริง ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการสนับสนุน และพัฒนาธุรกิจครอบครัวไทยให้เข้มแข็ง เติบโตเป็นเสาหลัก เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง”

เปิด 8 แนวทาง Transform ธุรกิจครอบครัวไทยสู่ยุค AI 

ในปัจจุบันธุรกิจครอบครัวไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่รอบด้าน โดยเฉพาะในยุคที่มีเทคโนโลยี และ AI เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น หากธุรกิจครอบครัวไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันยุคสมัยย่อมอยู่รอดได้ยาก การปรับเปลี่ยน (Transformation) ของธุรกิจครอบครัว จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมีแนวทางเพิ่มศักยภาพธุรกิจครอบครัว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

1. ประเมินความพร้อมขององค์กร (Assess Organizational Readiness) เริ่มจากการ ทำความรู้จักและเข้าใจสถานะปัจจุบันของธุรกิจครอบครัวอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของ โครงสร้าง , ความสามารถของบุคลากร (Digital Literacy) ,ศักยภาพทางเทคโนโลยี (โครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และข้อมูล) และ วัฒนธรรมองค์กร (ความเปิดรับการเปลี่ยนแปลง) ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และช่องว่างที่ต้องเร่งแก้ไข

2. พิจารณาโอกาสและความเสี่ยง (Consider Opportunities and Risks) เพื่อมองหาโอกาส การลงทุนในยุคดิจิทัล พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่ม และประเมิน ความเสี่ยง ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง เช่น ความเสี่ยงด้าน ความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ความขัดแย้งภายในครอบครัว/องค์กร และผลกระทบต่อพนักงาน

3. สร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม (Foster Innovation Culture) โดยการเปิดรับและส่งเสริมนวัตกรรม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุค AI ธุรกิจครอบครัวต้องกล้าที่จะทดลอง สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ทั้งในด้านสินค้า บริการ โมเดลธุรกิจ และกระบวนการทำงาน เพื่อให้สามารถก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

4. สร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม (Bridge Generational Gaps) เนื่องจากธุรกิจครอบครัวมีการบริหารงานข้ามรุ่น การสร้างความเข้าใจและ ทำงานร่วมกันระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เป็นสิ่งสำคัญ โดยควรมุ่งเน้นการเชื่อมโยง คุณค่าดั้งเดิม ของครอบครัวเข้ากับ นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อลดช่องว่างและสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันในการนำ AI มาใช้

5. ยินยอมกระจายอำนาจ การตัดสินใจ (Decentralize Decision-Making) โดยวัฒนธรรมองค์กรแบบรวมศูนย์ที่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้นำครอบครัวเพียงคนเดียวอาจทำให้การปรับตัวช้าลง ในยุค AI ที่ต้องการความรวดเร็วและคล่องตัว ธุรกิจต้อง กระจายอำนาจ และเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีความสามารถ (โดยเฉพาะรุ่นใหม่และมืออาชีพ) สามารถตัดสินใจในขอบเขตความรับผิดชอบของตนได้

6. การลงทุนในบุคลากร เทคโนโลยี และระบบข้อมูล (Invest in People, Technology, and Data Systems) โดยการเปลี่ยนผ่านต้องมาพร้อมกับการลงทุนที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากำลังคนเดิมสู่กำลังคนดิจิทัล การซื้อหรือพัฒนาระบบเทคโนโลยี (โครงสร้างพื้นฐานด้าน IT) และการจัดเก็บ บริหารจัดการข้อมูล ให้เป็นระบบเพื่อพร้อมใช้งานกับเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์เชิงลึก

7. บริหารจัดการความเสี่ยง และจริยธรรม (Manage Risks and Ethics) โดยการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น การป้องกันภัยไซเบอร์ และต้องคำนึงถึง จริยธรรม(Ethics) ในการใช้ AI และข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส

8. วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Measure and Continuously Improve) เนื่องจากเทคโนโลยี AI และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจครอบครัวต้องมีการ วัดผลการดำเนินงาน และผลลัพธ์ของการปรับเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ และใช้ข้อมูลที่ได้มาประกอบการตัดสินใจ ปรับปรุงกลยุทธ์ และการดำเนินงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมุ่งมั่นเสริมศักยภาพตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือกับหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการศึกษาหารือ ร่วมกับรัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการแก้กฏระเบียบ และ/หรือแนวทางเพิ่มศักยภาพธุรกิจครอบครัวอย่างไร ให้มีความสามารถแข่งขัน พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเข้าระดมทุนและขยายกิจการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริงในอนาคต!

TAGS: #กิติพงศ์ #ตลาดหลักทรัพย์ #SET #ธุรกิจครอบครัว #SETFamilyBusiness