ก.ล.ต.เปิดเผยสถิติการบังคับใช้กฎหมายคดีอาญา สำหรับ Media Briefing ในปี 2568 รวม 12 คดี จำนวน 47 ราย พร้อมลุยสกัดกั้น “บัญชีม้า” กว่า 31,216 บัญชี คิดเป็นมูลค่า 229 ล้านบาท จ่อออกมาตรการควบคุมที่รัดกุม
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยสถิติการบังคับใช้กฎหมาย สำหรับ Media Briefing (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.ย.) ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในคดีอาญา โดยกล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน (บก.ปอศ. และ DSI) รวม 12 คดี ผู้กระทำความผิดรวม 47 ราย ลดลงเมื่อเทียบกับทั้งปี 2567 ราว 21 คดี รวมถึงมีผู้กระทำผิดมาตกลงทำบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด จำนวนรวม 27 ราย จาก 11 คดี โดยมีค่าปรับทางแพ่ง 113.40 ล้านบาท ชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ที่ได้รับ 62.05 ล้านบาท ส่วนอีก 1 คดียังคงอยู่ระหว่างดำเนินการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 ที่มีการนำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ มีผู้กระทำความผิดตกลงทำบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด จำนวน 304 ราย จาก 78 คดี โดยมีค่าปรับทางแพ่ง 2,145.55 ล้านบาท ชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ที่ได้รับ 448.56 ล้านบาท ซึ่งเงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำผิด เป็นรายได้แผ่นดินที่ ก.ล.ต. นำส่งกระทรวงการคลังแล้ว
สำหรับผู้กระทำผิดที่ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. ได้มีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีผู้กระทำความผิดต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ
ส่วนโครงการ TouristDigiPay ทางด้าน ก.ล.ต.ยืนยันว่า การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลฯ ไม่กระทบต่อโครงการ เนื่องจากเป็นโครงการที่ดี ช่วงส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย รวมถึงเป็นโครงการนำร่อง (Sandbox) เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท และนำไปใช้จ่ายในประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชัน e-Money พร้อมคาดว่าจะเริ่มดำเนินได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2568
ในขณะเดียวกัน ก.ล.ต.ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตำรวจไซเบอร์ เดินหน้าสกัดกั้นขบวนการแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้ “บัญชีม้า” แปลงเงินบาทเป็นคริปโทฯ เพื่อฟอกเงินและโอนออกนอกประเทศ ล่าสุดในปี 2568 สามารถอายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องได้แล้วกว่า 31,216 บัญชี คิดเป็นมูลค่า 229 ล้านบาท พร้อมเตรียมออกมาตรการควบคุมที่รัดกุมยิ่งขึ้น
สำหรับ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ในปี 68 (1 ม.ค.- 15 ก.ย.68) ผ่านสายด่วน 1207 กด 22 ได้รับแจ้งเบาะแสรวม 6,354 ครั้ง ทางสำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและหน่วยงานรัฐปิดกั้นแล้ว 3,036 บัญชี ภายในเวลา 7 นาที – 48 ชั่วโมง และให้คำปรึกษาในเรื่องการหลอกลงทุน จำนวน 3,318 ครั้ง
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศในการป้องกันการถูกชักชวนหลอกลงทุนให้แก่ประชาชน ผู้ลงทุน และผู้ประกอบธุรกิจและหน่วยงานในตลาดทุน ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง