UOB เร่งไทยเจรจาภาษีสหรัฐฯ พร้อมเดินหน้าลงทุนพยุงเศรษฐกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

UOB เร่งไทยเจรจาภาษีสหรัฐฯ พร้อมเดินหน้าลงทุนพยุงเศรษฐกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
UOB เร่งไทยเจรจาภาษีสหรัฐฯ ให้ไม่เสียเปรียบคู่แข่ง พร้อมแนะรัฐฯ ใช้มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคต

นายสถิตย์ แถลงสัตยา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น คาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นลำดับอย่างน้อย 3 รอบ คือ 1. ผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิต หรืออุตสาหกรรมเทคโนโลยี และสินค้ากลุ่มเป้าหมายของมาตการภาษีใหม่ 2. ผลกระทบต่อซัพพลายเชน ซึ่งไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตระดับโลก เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนส่งออก 3. ผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง

อีกทั้งมองว่าการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯในวันที่ 1 ส.ค.68 นั้น ประเทศไทยยังมีเวลาเจรจาหาข้อตกลงและยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมได้ อาทิ การเปิดตลาดในบางภาคส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น โทรคมนาคมหรือบริการทางการเงิน ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบการและประชาชนในฐานะผู้บริโภคมากกว่าในระยะยาว รวมถึง เปิดตลาดสินค้าเกษตรบางรายการที่มีความต้องการ แต่มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นข้อเสนอเพื่อให้สหรัฐฯ ทบทวนอัตราภาษีในไทยให้ใกล้เคียงกับเวียดนามที่ราว 20% หรืออัตราภาษีที่ไม่เสียเปรียบต่อประเทศคู่แข่งมากนัก

รวมถึงภายหลังการประกาศภาษีนำเข้าสหรัฐฯ  ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ที่มีแผนพิจารณาย้ายฐานการผลิตเข้ามาในอาเซียน กลับเข้าสู่โหมด “wait and see” หรือรอดูสถานการณ์ก่อนตัดสินใจ แต่ปัจจัยภาษี ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ผู้ประกอบการใช้ในการตัดสินใจย้ายฐานการผลิต ซึ่งหากพิจารณาถึงจุดแข็งด้านเศรษฐกิจไทย โดยมองข้ามปัจจัยในระยะสั้น เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือการเงิน ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีศักยภาพต่อการลงทุน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการเงิน และแรงงาน พร้อมแนะรัฐฯ เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในด้านที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง อาทิ การท่องเที่ยว การขนส่ง และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ทั้งนี้ธนาคารยูโอบีประเมินว่า หากไทยได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีในระดับ 10–15% จะส่งผลให้ GDP เติบโตราว 2% แต่หากท้ายสุด ประเทศไทย โดยเก็บภาษีที่ 36% หรือมากกว่าที่ประเมิน จะส่งผลให้ GDP ลดลงเหลือ 0-1% และมีความเสี่ยงที่จะเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจติดลบจนถึงจุดต่ำสุดใน Q3/68 ถึง Q1/69 ผนวกกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และมีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจลดต่ำสุดเหลือระดับ 1% หรือหากสถานการณ์เลวร้ายทาง ธปท. อาจลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 0.5% ใน Q1/69

ด้านรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 จากการสำรวจจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า แม้ภาคธุรกิจไทยจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังแต่ยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันร้อยละ 68 คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และร้อยละ 60 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO &  Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”

ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว

ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ

ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้

• ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน 

• เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์

• ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว

ความกดดันในห่วงโซ่อุปทานผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาคร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่

• การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง

• การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต

• ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว

การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม

ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย

แม้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว

ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก

ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความ               ท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน

แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ
ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร

TAGS: #UOB #ธนาคารยูโอบี #ภาษีสหรัฐ #รัฐบาล #การลงทุน