ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชู "Mission 2000" งานวิจัยล่าสุดของสถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 35 เพื่อยกระดับ SET สู่ 2,000 จุด ใน 5 ปี ผ่านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยตามแนวคิด "ลูกธนูสามดอก"
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประธานกรรมการที่ปรึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุน เปิดเผยว่า การวิจัย "Mission 2000" ของคณะนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 35 (วตท.35) ในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ดำเนินการมาโดยตลอดและจะดำเนินการต่อไป รวมถึงมองว่าการควบรวมและเป็นพันธมิตรในทางธุรกิจ (M&P) เป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยพัฒนาและขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้มีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน
การวิจัย "Mission 2000" มีวัตถุประสงค์หลักของการวิจัยในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ยกระดับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แตะ 2,000 จุด ภายในระยะเวลา 5 ปี ผ่านแนวคิด "ลูกธนูสามดอก" (Three Arrows) ประกอบด้วยข้อเสนอด้านการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพ (Hard Infrastructure) เชิงนโยบาย (Soft Infrastructure) และข้อเสนอการปฏิรูปรายภาคส่วนด้านการแพทย์ (Medical Hub)
ภายใต้การตั้งสมมติฐานปัจจัยขับเคลื่อนหลัก 3 ประการเพื่อบรรลุเป้าหมาย SET 2000 คือ
1) เพิ่มค่า PE Multiple จาก 14 เท่าเป็น 18 เท่า อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น
2) อัตราการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) ที่ 3.65% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง 5 ปี
3) บริษัทจดทะเบียนต้องมีการเติบโตมากกว่า 5% ต่อปี
โดยแผนปฏิบัติการจะแบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะสั้น (ปีที่ 1-2) เน้นโครงการนำร่องและปฏิรูปเร่งด่วน และส่งเสริม Digital Transformation ระยะกลาง-ยาว (ปีที่ 3-5) มุ่งขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ปฏิรูปภาษี และพัฒนากลไกทางการเงินใหม่ๆ ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือ GDP เติบโตเพิ่มขึ้น 0.5-1.0% ต่อปี และสร้างการจ้างงานคุณภาพสูง 100,000 ตำแหน่ง
ด้านนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประธานคณะกรรมการอำนวยการ สถาบันวิทยาการตลาดทุน กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนไทยต่อเนื่อง โดยผลการวิจัยในครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพ เสริมความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนไทย พร้อมสร้างความโปร่งใสตามหลักธรรมมาภิบาล
ส่วนภาพรวมของตลาดทุนไทย ปัจจุบันมีปัจจัยเข้ามากระทบหลายด้านทั้งในประเทศและนอกประเทศ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำว่า นักลงทุนควรจับตาการเจรจาภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariff) ว่ามีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใดบ้าง และไทยอาจได้เปรียบคู่แข่งทางการในกลุ่มอุตสาหกรรมใดบ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจลงทุน รวมถึงควรกลับมาดูที่พื้นฐานบริษัทฯ และพิจารณาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการลงทุนให้เร็วที่สุด เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบ
“โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมทำงานกับภาครัฐฯ และหน่วยงานต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนตลาดทุนไทยในระยะสั้นมาโดยตลอด อาทิ กองทุนวายุภักษ์ ,Thai ESG และ Thai ESGX เป็นต้น ซึ่งทำให้ค้นพบว่านักลงทุนรายย่อยมีความสนใจลงทุน DR เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับการหาโปรดักซ์ที่มีศักยภาพเข้ามาเปิดโอกาสให้กับนักลงทุน ในขณะเดียวกันมองว่าหุ้นปันผลยังเป็นทางเลือกสำคัญของนักลงทุน โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ราว 4% ซึ่งถือว่าสูง และยังคงเป็นที่น่าสนใจ” นายอัสสเดช กล่าว
อย่างไรก็ดี “งานวิจัย Mission 2000” ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปภาคการแพทย์ ผลักดัน Hard Infrastructure และ Soft Infrastructure ทั้ง 5 ด้าน รวมถึงมาตรการสนับสนุนตลาดเงินตลาดทุน เช่น มาตรการ TISA (Thai Individual Saving Account) และมาตรการ Jump+ หรือมาตรการยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มหากบริษัทเติบโตตามแผน ผนวกกับการนิรโทษกรรมภาษีสำหรับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมกับบริษัทจดทะเบียน จะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยและผลักดันให้ดัชนี SET ทะยานสู่ 2,000 จุดได้ภายใน 5 ปี พร้อมยกระดับประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงอย่างยั่งยืน