คณะนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 35 (วตท.35) มีเป้าหมายที่ต้องการจะยกระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยไปสู่ 2,000 จุดภายใน 5 ปี จึงได้ร่วมกันจัดทำงานวิจัย “Mission 2000” ฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการนำไปสู่การปฎิบัติจริงให้บรรลุเป้าหมาย
การวิจัย "Mission 2000" มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ยกระดับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากระดับปัจจุบัน (~1,200 จุด) ไปสู่ 2,000 จุด ภายในระยะเวลา 5 ปี คิดเป็นการเติบโตประมาณ 66% โดยตั้งอยู่บนแนวคิด "ลูกธนูสามดอก" (Three Arrows) ประกอบด้วยข้อเสนอด้าน Hard Infrastructure ข้อเสนอด้าน Soft Infrastructure และข้อเสนอการปฏิรูปรายภาคส่วนด้านการแพทย์ (Medical Hub)
สถานการณ์ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยประสบภาวะชะงักงัน โดยติดกับดักรายได้ปานกลาง มีการเติบโตหลังโควิด-19 เพียง ~2.2%ต่อปี ขาดเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ และมีความท้าทายเชิงโครงสร้างเช่น สังคมสูงวัย การขาดแคลนแรงงานคุณภาพ และโครงสร้างกฎหมายที่ล้าสมัย นอกจากนั้น ยังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าที่จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลง
งานวิจัยตั้งสมมติฐานปัจจัยขับเคลื่อนหลัก 3 ประการเพื่อบรรลุเป้าหมาย SET 2000 คือ (1) เพิ่มค่า PE Multiple จาก 14 เท่าเป็น 18 เท่า อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น (2) อัตราการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) ที่ 3.65% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง 5 ปี และ (3) บริษัทจดทะเบียนต้องมีการเติบโตมากกว่า 5% ต่อปี
ข้อเสนอด้าน Hard Infrastructure เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่รวมถึงระบบการจัดการน้ำ ระบบชลประทาน การพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยง และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคาดว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาด 22% GDP ใน 5 ปีข้างหน้า จะสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้น 1.5-2% ต่อปีจากกรณีฐาน หากเป็นโครงการที่เพิ่มผลิตภาพจริง
ข้อเสนอด้าน Soft Infrastructure แบ่งเป็น (1) การปฏิรูปการคลัง โดยขยายฐานจัดเก็บภาษีควบคู่ไปกับการปรับอัตราภาษีให้สามารถแข่งขันได้เพิ่มแรงจูงใจในการเข้าสู่ระบบให้ถูกต้อง พร้อมกับการทยอยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามความเหมาะสม เเละ จัดเก็บภาษีชนิดอื่นฯเพิ่มเติมเช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม เเละ ภาษีธุรกิจดิจิทัล
(2) การปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนโดยปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณ เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตั้งเเต่วัยเยาว์ ไปจนถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต เน้นไปที่ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน นําเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงหลักสูตรเพิ่มเน้นทักษะสมัยใหม่เช่น ความรู้ทางการเงิน ผู้ประกอบการ เเละ ทักษะดิจิทัล
(3) การพัฒนาโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยผลสำรวจพบว่า 80% ของผู้บริหารมีความเชื่อมั่นระดับปานกลางต่อการรักษาอัตราเติบโตที่ 5% ต่อปี ต่อเนื่อง 5 ปี ทั้งนี้ งานวิจัยเสนอให้ธุรกิจไทยควรพัฒนาทั้งในแนวดิ่ง (Vertical) เพื่อควบคุมห่วงโซ่อุปทาน และแนวนอน (Horizontal) เพื่อขยายตลาดและกระจายความเสี่ยง โดยการวิเคราะห์แบบจำลอง SEM พบว่าการลงทุนและนวัตกรรม (β = +0.41) และธรรมาภิบาลองค์กร (β = +0.33) มีอิทธิพลสูงสุดต่อการเติบโตของธุรกิจ
(4) การยกระดับธรรมาภิบาล จากผลการวิเคราะห์พบว่าบริษัทที่มีธรรมาภิบาลระดับ "ดีเยี่ยม" มี ROE > 10% ถึง 80% และ 70% ของบริษัทกลุ่มนี้มีความเชื่อมั่นในการรักษาอัตราเติบโต 5% ต่อปี อย่างไรก็ตามพบความท้าทายเช่น โครงสร้างการถือหุ้นแบบกระจุกตัว ขาดความหลากหลายในคณะกรรมการ และการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ยังไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสรุปได้ว่าการเพิ่มอำนาจให้แก่ ก.ล.ต. ตามที่กำหนดในพระราชกำหนด สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ลดขั้นตอนและเวลาในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการความคุ้มครองมากขึ้น
(5) การปฏิรูปนโยบายการเงินและเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดทุนไทย โดยนโยบายการเงินควรเน้นทิศทาง "Pro-Growth Stability" เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่เติบโตชะลอลงอย่างมาก โดยพิจารณาใช้เครื่องมือใหม่ๆ เช่น การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ หรือการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่สถาบันการเงินเพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงิน และสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินบาทเพื่อส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุนไทยผ่านการลด Tick Size / spread ระหว่างราคาเพื่อลดต้นทุนทางธุรกรรม (transaction cost) และพัฒนาสมดุลด้านอุปสงค์, ส่งเสริม Share Buyback, ดึงดูดกองทุน Passive ต่างประเทศ, สนับสนุน Market Making สำหรับหุ้นขนาดกลางและเล็ก, และลดข้อจำกัดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องที่ลดลงและการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่
ข้อเสนอการปฏิรูปรายภาคส่วนด้านการแพทย์ (Medical Hub) เป็น "ลูกธนูดอกสำคัญสู่ SET 2000" โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่ม HEALTH จาก 6% เป็น 12% ของมูลค่าตลาดรวมภายใน 5 ปี คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 27.6% ต่อปี การพัฒนาต้องมีการปฏิรูป 5 ด้านคือ กฎระเบียบและนโยบาย โครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศนวัตกรรม ทักษะและทุนมนุษย์ การลงทุนและพัฒนาธุรกิจ และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป้าหมาย
แผนปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะสั้น (ปีที่ 1-2) เน้นเริ่มโครงการนำร่อง ปฏิรูปกฎระเบียบเร่งด่วน และส่งเสริม Digital Transformation ระยะกลาง-ยาว (ปีที่ 3-5) มุ่งขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ปฏิรูปภาษี และพัฒนากลไกทางการเงินใหม่ๆ ผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับคือ GDP เติบโตเพิ่มขึ้น 0.5-1.0% ต่อปี สร้างการจ้างงานคุณภาพสูง 100,000 ตำแหน่ง
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการดำเนินแผนยุทธศาสตร์นี้ ประกอบด้วยความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Will) การบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ความต่อเนื่องของนโยบาย การพัฒนาทุนมนุษย์ที่เพียงพอ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม
ทั้งนี้ การปฏิรูปภาคการแพทย์ การปฏิรูปด้าน Soft Infrastructure ทั้ง 5 ด้าน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Hard Infrastructure) จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูงอย่างยั่งยืนรวมถึงมาตรการสนับสนุนตลาดเงินตลาดทุนอย่าง มาตรการ TISA (Thai Individual Saving Account) หรือมาตรการบัญชีเพื่อการลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งเงินปันผล กำไรจากส่วนต่างราคา และดอกเบี้ย และมาตรการ Jump+ หรือมาตรการยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มหากบริษัทเติบโตตามแผนและนิรโทษกรรมภาษีสำหรับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมกับบริษัทจดทะเบียน จะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยและทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยขึ้นสู่ 2000 จุดได้ภายใน 5 ปี