WeLab ยักษ์ใหญ่ FinTech เอเชีย เล็งเจาะตลาดธนาคารดิจิทัลไทย ลุยแก้ Pain Point เข้าถึงบริการทางการเงิน

WeLab ยักษ์ใหญ่ FinTech เอเชีย เล็งเจาะตลาดธนาคารดิจิทัลไทย ลุยแก้ Pain Point เข้าถึงบริการทางการเงิน
Welab หนึ่งในผู้นำบริษัท FinTech ในเอเชีย เตรียมเดินหน้าขยายตลาดธนาคารดิจิทัลในไทย หลังสร้างการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในฮ่องกง และอินโดนีเซีย ด้วยฐานผู้ใช้งานกว่า 70 ล้านคน

นายไซมอน หลุง ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มวีแล็บ (Welab) เปิดเผยกับสำนักข่าว “The Better” ว่า WeLab ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัท FinTech อิสระที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยฐานผู้ใช้งานกว่า 70 ล้านคน และปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5 แสนล้านบาท) ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา

WeLab ดำเนินธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่แพลตฟอร์มสินเชื่อออนไลน์ เวอร์ชวลแบงก์ (ธนาคารพาณิชย์ดิจิทัลไร้สาขา)ไปจนถึงธุรกิจ B2B ที่จำหน่ายเทคโนโลยีให้แก่ธนาคารต่างๆ ปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นเจ้าของธนาคารดิจิทัลชั้นนำ 2 แห่งในเอเชีย ได้แก่ WeLab Bank ในฮ่องกง และ Bank Saqu ในอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองแห่งต่างประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น 

“WeLab Bank เป็นหนึ่งในธนาคารดิจิทัลกลุ่มแรกๆ ในเอเชียที่สามารถทำกำไรได้ภายใน 4 ปี ซึ่งเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารดิจิทัลทั่วไปที่ทำกำไรได้ภายใน 5-7 ปี WeLab ได้รับการยกย่องจาก Finance Asia ว่าเป็นธนาคารเวอร์ชวลแบงก์ที่ดีที่สุดในฮ่องกง และยังเป็นธนาคารที่ดีที่สุดในด้านการเข้าถึงทางการเงินอีกด้วย ” นายไซมอน กล่าวเสริม

การเข้ามาของธนาคารดิจิทัลได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดในฮ่องกงและอินโดนีเซีย ด้วยการส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างมีสมดุล การกระตุ้นให้มีนวัตกรรมใหม่ๆ การเพิ่มการเข้าถึงการเงิน ดังเห็นตัวอย่างจากในฮ่องกง การที่ธนาคารเวอร์ชวลแบงก์เข้ามาแข่งขันในตลาด ได้ส่งผลให้ธนาคารดั้งเดิมยกเลิกค่าธรรมเนียมบัญชีขั้นต่ำเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับการให้บริการเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า 

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังหันมาเลือกกู้เงินจาก WeLab Bank มากขึ้น เนื่องจากบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ WeLab ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในเจ้าตลาดผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ส่วนบุคคลที่ในฮ่องกง

WeLab มุ่งเน้นการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน โดยให้การเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ทางธนาคารที่ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง ช่วยให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายและประหยัด ลดต้นทุนการกู้ยืม และได้รับคำปรึกษาทางการเงินเพื่อจัดการ ออม และเพิ่มพูนความมั่งคั่ง

WeLab ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้ทางการเงินแก่คนรุ่นใหม่ ผ่านผลิตภัณฑ์ "Digital Wealth" ที่ช่วยสอนวิธีการออมและการลงทุนอย่างเหมาะสม จากเดิมที่ต้องเรียนรู้วิธีการออมเงิน จากการดูวิดีโอออนไลน์ TikTok และอื่นๆ เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถช่วยเสริมสร้างความรู้ด้านการลงทุนในระยะยาว และการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทในแต่ละภูมิภาคได้

ผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่งของ WeLab Bank ที่ใช้งานง่ายและนวัตกรรมสูงช่วยให้ลูกค้าเรียนรู้เรื่องการบริหารความมั่งคั่งได้อย่างสะดวก WeLab Bank เป็นธนาคารดิจิทัลแห่งแรกในเอเชียที่เปิดตัว GoWealth – โซลูชันให้คำแนะนำการลงทุนแบบดิจิทัล ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่เน้น “ตามความเสี่ยง” แต่ GoWealth ใช้แนวทาง “ตามเป้าหมาย” โดยเชื่อมโยงประสบการณ์การลงทุนทั้งหมดเข้ากับเป้าหมายของลูกค้า ตั้งแต่การวางแผนการเงิน การแนะนำพอร์ตลงทุน การทำธุรกรรมในกองทุน ไปจนถึงการติดตามเป้าหมาย— ทุกขั้นตอนผ่านแอปเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการตอบรับดีเยี่ยม โดยช่วยให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของ WeLab Bank ในปี 2024 เติบโตเกือบ 300% และรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นประมาณ 70% เมื่อเทียบกับปี 2023

ขยายธุรกิจสู่ ASEAN: ปฏิวัติบริการธนาคารเพื่อกลุ่ม “ผู้ประกอบการลุยเดี่ยว” (Solopreneur) ในอินโดนีเซีย

WeLab มองไกลเกินกว่าเพียงฮ่องกง โดยมีความมุ่งมั่นให้บริการตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งยังมีประชากรถึง 60–70% ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน

Bank Saqu ธนาคารดิจิทัลแห่งที่สองของ WeLab ในเอเชีย เปิดตัวในช่วงปลายปี 2023 ที่อินโดนีเซีย โดย WeLab ร่วมมือกับ Astra หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย การร่วมมือครั้งนี้ใช้จุดแข็งของทั้งสองฝ่าย โดย Astra มีระบบนิเวศในท้องถิ่นที่กว้างขวาง ส่วน WeLab มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลแบงก์ ความร่วมมืออันแข็งแกร่งนี้ทำให้ Bank Saqu เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหนึ่งในธนาคารดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยมียอดผู้ใช้งานครบ 1 ล้านคนภายใน 6 เดือน และขยายเป็น 2–2.5 ล้านคนในปัจจุบัน

Bank Saqu ออกแบบมาเพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการ โดยเฉพาะกลุ่ม “ผู้ประกอบการลุยเดี่ยว” (Solopreneur) ซึ่งคิดเป็นกว่า 40% ของลูกค้าทั้งหมด ได้แก่ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ฟรีแลนซ์ และพนักงานประจำที่มีธุรกิจเสริม โดยมักประสบปัญหาเรื่องรายได้ไม่สม่ำเสมอและการจัดการการเงินที่ซับซ้อน

เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้ Bank Saqu พัฒนาโซลูชันเฉพาะ แทนที่จะใช้แนวทางเดียวสำหรับทุกคน เช่น บริการ “กระเป๋าเงินย่อย” ภายในบัญชีเดียว ให้ลูกค้าจัดการรายรับรายจ่ายในแต่ละด้านของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย 30% ของลูกค้าที่ยังใช้งานได้สร้างกระเป๋าเงินย่อยเพิ่มเติม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเฉพาะสามารถตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง

ด้วยประสบการณ์ในการดำเนินธนาคารดิจิทัลและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี WeLab มองเห็นโอกาสชัดเจนในการขยายแนวทางเดียวกันสู่ประเทศไทย ซึ่งมีประชากรที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินจำนวนมากเช่นกัน

เปลี่ยนโฉมการเงินไทย: วิสัยทัศน์ของ WeLab

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงินผ่านเทคโนโลยี และกระตุ้นการแข่งขันในตลาด WeLab ได้เรียนรู้จากความสำเร็จในการสร้างธนาคารดิจิทัลในฮ่องกงและอินโดนีเซีย ซึ่งจะนำไปต่อยอดในประเทศไทย โดยมีประชากรราว 63% ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินหรือคำแนะนำทางการเงินอย่างเพียงพอ และมีช่องว่างด้านสินเชื่อของธรกิจรายย่อย และผู้ประกอบการลุยเดี่ยวสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท

พันธมิตรในประเทศถือเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของ WeLab ในอาเซียน ทุกประเทศมีภาษาวัฒนธรรมและความเฉพาะตัว WeLab ให้ความสำคัญกับความรู้และเครือข่ายของพันธมิตรในท้องถิ่น โดยในไทย WeLab จับมือกับ Lightnet หนึ่งใน FinTech ชั้นนำ และยื่นขอใบอนุญาตธนาคารเวอร์ชวลแบงก์ต่อ ธปท. ในเดือนกันยายน 2567 กลุ่มผู้สมัครนี้มีเป้าหมายปฏิวัติการให้บริการธนาคารไทยด้วยประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมผลิตภัณฑ์ที่พร้อมให้บริการ โดยใช้ข้อมูลทางเลือกที่เหมาะกับรายได้ไม่แน่นอน เพื่อลดช่องว่างทางโครงสร้างและขยายบริการสู่ผู้มีรายได้น้อย

กลุ่มผู้สมัครนี้จะใช้ระบบนิเวศของ Lightnet ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 46 ล้านรายในภาคเกษตร อาหาร และอีคอมเมิร์ซ พร้อมจุดเชื่อมต่อหลากหลายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง แต่ยังช่วยลดภาระหนี้ของประเทศและส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงินอย่างยั่งยืน

เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีสัดส่วนเกือบครึ่งของ GDP และแรงงานกว่า 52.7% โดยมีหนี้นอกระบบกว่า 16.3 ล้านล้านบาท การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบจึงเป็นกุญแจสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจทางการ WeLab พร้อมประยุกต์เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วในระดับสากลมาให้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์สินเชื่อด้วยระบบ AI การคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (risk-based pricing) การวิเคราะห์ข้อมูลแบบหลายมิติและ edge computing โดยจากสถิติการปล่อยกู้ของ Welab ยอดสินเชื่อกว่า 70% ของเงินกู้รวม (หรือคิดเป็นวงเงินมากกว่า 3 แสนล้านบาท) ของ WeLab ถูกปล่อยให้แก่กลุ่มลูกค้าที่ธนาคารดั้งเดิมไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้

WeLab ยังมีเทคโนโลยีล้ำสมัยในการป้องกันการมิจฉาชีพ โดยเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้ AI ในระบบตรวจจับการมิจฉาชีพออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2015 ล่าสุด WeLab ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีในการลดอาชญากรรมทางการเงิน เสริมสร้างความมั่นใจในอุตสาหกรรมธนาคารดิจิทัล โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาเครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกงผ่าน Generative AI, Data Science และกิจกรรมฝึกอบรมร่วม

“ในฐานะที่เป็นธนาคารไร้สาขาที่ไม่เคยพบลูกค้า 70 ล้านคนของเราตัวเป็น ๆ การป้องกันมิจฉาชีพคือภารกิจสำคัญ เราเชื่อเสมอว่าควรหยุดการฉ้อโกงตั้งแต่ก่อนเกิด หรืออย่างน้อยต้องไม่ให้เกิดซ้ำ และเมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกใช้ในไทย เราเชื่อว่าจะสามารถช่วยลดการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยเฉพาะบัญชีม้าและการฟอกเงิน ผ่านความร่วมมือกับ CIB ” — นายไซมอน กล่าวเสริม

WeLab: ขับเคลื่อนการเข้าถึงทางการเงินไทยอย่างยั่งยืน

WeLab มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการทางการเงินของไทยผ่านนวัตกรรมธนาคารดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีสินเชื่อแบบใหม่ และการให้ความสำคัญกับกลุ่มที่ธนาคารยังบริการได้ไม่ทั่วถึง WeLab ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการการเข้าถึงการเงินในวันแรกของลูกค้า แต่ยังวางรากฐานให้คนไทยมีสุขภาพทางการเงินที่มั่นคงในระยะยาว ภายใต้กลยุทธ์ “Access, Growth, Independence” WeLab พร้อมอาสาที่จะช่วยให้คนไทยหลุดพ้นจากกับดักความยากจน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์การเงินอย่างชาญฉลาด และต่อยอดสร้างความมั่งคั่งในอนาคต
 

TAGS: #Welab #FinTech #DigitalBank #ธนาคารดิจิทัล #ออมเงิน