TFM ปักธงผลงานปี 68 โต 10% เร่งเจรจาพันธมิตรต่างประเทศ ตอบรับดีมานด์ตลาดโลกพุ่ง
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 เติบโต 8-10% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% จากปี 2567 ที่มีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.7% จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงและเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยวางงบลงทุนซื้อเครื่องจักรเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท
รวมถึงบริษัทฯ ปักธงรายได้ปี 2573 พุ่งแตะ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% ผ่านการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และ 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย
1.) Consistent Feed Quality รักษาคุณภาพอาหารสัตว์ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทฯ ได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดและสามารถแข่งขันในตลาดได้
2.)Farmer Engagement สร้างการมีส่วนร่วมกับเกษตรกรโดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกรเพื่อให้สามารถพัฒนาระบบการผลิตร่วมกันและให้เกษตรกรสามารถเติบโตไปพร้อมกัน
3.) Strategic Partnershipขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้
4.) Sustainabilityมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงแต่สนับสนุนเกษตรกรในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการสร้างผลกระทบทางบวกต่อสังคม
ส่วนกลยุทธ์รุกตลาดใหม่ๆ บริษัทฯ มีแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งในต่างประเทศเพิ่มเติม อาทิ สิงคโปร์ ,อเมริกา ,บลูไน ,แอฟฟริกา และอื่นๆ ไปพร้อมกับการขยายตลาดเดิมที่มีอยู่ ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย, อินเดีย, ศรีลังกา, มาเลเซีย และพม่า เพื่อสร้างฐานลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง บริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด (Avanti Feeds) ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารกุ้ง ครองส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ รวมไปถึงบริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี จำกัด หรือ TUKL ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ในอินโดนีเซีย ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และตั้งเป้าติดอันดับ Top 5 ภายในปี 2569 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมขยายการส่งออกไปเวียดนามผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในและนอกกลุ่ม ด้วยจุดแข็งของ TFM คือ การให้บริการลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขายด้วยมาตรฐานระดับสากล จึงมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ
สำหรับตลาดในประเทศไทย TFM จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ โดยจะมุ่งขยายตลาดในพื้นที่ที่ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ด้วยการรักษาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกร ผ่านบริการและองค์ความรู้เชิงวิชาการ ขณะเดียวกัน ได้เตรียมขยายสู่ตลาดอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และตั้งเป้าก้าวเป็นผู้นำตลาดอาหารปลาน้ำจืดในอนาคต
พร้อมมองว่า อุตสาหกรรมกุ้งในไทยถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศ บริษัทฯ จึงเดินหน้าเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่เกษตรกร ห้องเย็น ภาคเอกชน ไปจนถึงภาครัฐ การมีข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้การผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการมองแค่ระยะสั้น มาเป็นการมองในภาพรวมทั้งระบบ เพื่อวางแผนในระยะยาวและสร้างเสถียรภาพของอุตสาหกรรม ด้วยเป้าหมายเพิ่มผลผลิตกุ้งไปสู่ระดับ 400,000 ตันต่อปี ตามนโยบายของรัฐบาลที่มอบผ่านกรมประมง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานฟาร์มให้เป็นไปตามมาตรฐานอาหารสัตว์ระดับโลกจากองค์กร Aquaculture Stewardship Council หรือ ASC พร้อมทั้งเน้นเรื่องความยั่งยืน เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันและรองรับความต้องการในตลาดโลก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในประเทศไทยล่าสุด ผ่านการเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ "ขุนศึก" อาหารปลานิลที่โดดเด่นในเรื่องช่วยให้ปลาโตเร็วและมีรูปร่างตรงตามความต้องการของตลาด, "กบทอง" อาหารสำหรับกบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรที่เลี้ยงกบเชิงพาณิชย์ และ "โปรฟีดปลากดคัง" อาหารปลากดคัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศไทย