“ดร.นิเวศน์” ลั่น! SET ร่วง เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!! แนะนลท.เปิดโหมด “รับ” เต็มตัว

“ดร.นิเวศน์” ลั่น! SET ร่วง เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!! แนะนลท.เปิดโหมด “รับ” เต็มตัว
“ดร.นิเวศน์” ลั่น! SET ร่วง เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!! แนะนลท.เปิดโหมด “รับ” เต็มตัว

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า เปิดเผยกลยุทธ์รักษาความมั่งคั่ง กล่าวว่า ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ - 6.1% และเป็นการตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว  ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  หุ้นที่ตกลงมานั้นเกิดขึ้นในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและแทบทุกกลุ่มหุ้น เช่น หุ้น “เก็งกำไร”  หุ้น “ปั่น”  หุ้น “VI” และหุ้น “ปันผล”  ไม่ต้องพูดถึงหุ้น “เติบโต” หรือหุ้น “คอร์เนอร์” ที่เคยเป็น  “ดารา” ที่มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงก่อนและทำให้ราคาหุ้นแพงมากที่มีค่า PE สูงกว่าปกติมากที่  “คอร์เนอร์แตก” ราคาหุ้นตกลงมามากทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับบริษัท

การตกลงมาของหุ้นรอบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ  บางทีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น  เพราะเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นยังคงอยู่ “ครบถ้วน” ไม่ว่าจะเป็น 1) การเติบโตของ GDP ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นในปีนี้  2) อัตราดอกเบี้ยที่  “คงจะไม่ลด” และก็จะยังรบกวนไม่ให้หุ้นขึ้นไปได้ทั้งในระดับโลกและของไทย 3) กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะไม่ดีขึ้นเพราะความต้องการสินค้าในประเทศที่ยังอ่อนแออานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี  การใช้จ่ายรายการใหญ่เช่น  การซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว  และ  4) หุ้นโดยรวมมีราคาแพงวัดจากค่า PE ที่สูงถึง 18 เท่า

จะมีที่เป็นบวกหน่อยก็คือ  ปัจจัยทาง “เทคนิค” ที่ว่า  ดัชนีหุ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  “เลวร้าย”   มาก คือปี 2565 บวกแค่ 0.7% ปี 2566 ติดลบ 15.2% และปี 2567 ติดลบ 1.1% ในขณะที่ตลาดหุ้นโลกสดใส  ดังนั้น  ปี 2568 ดัชนีไทยก็ควรจะต้องดี  ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เคยเป็นติดต่อกันมากว่า 20 ปี  อย่างไรก็ตาม  ในฐานะของคนที่เน้นเรื่องของ “พื้นฐาน” เป็นหลัก  ผมคิดว่า  “รอบนี้” ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  และเราก็จะต้องเปลี่ยนกลยุทธการลงทุน

เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  ต้องปรับ  “โหมด” การลงทุนของเรา  จากโหมดของการ “รุก”  เป็นโหมด “รับ” เต็มตัว  ซึ่งนี่ก็คล้าย ๆ  กับเรื่องของการรบในสงครามที่เรารู้ว่าเราสู้ไม่ได้เมื่อมีการรบกันระยะหนึ่งแล้ว  การที่จะบุกเข้าไปต่อสู้นั้น  โอกาสที่จะแพ้สูง  ทางที่ดีกว่าก็คือ  การปรับกองทัพตั้งรับข้าศึกซึ่งจะทำให้มีโอกาสรอดมากกว่า

นักลงทุนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจนมีพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นมากและมีความมั่งคั่งในระดับที่มีอิสรภาพทางการเงินรวมถึงคนที่ “รวย” จากหุ้นไปแล้วนั้น  ผมคิดว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปมากพอที่จะทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนของเราจากการที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโต  หุ้นวัฎจักร หรือหุ้นฟื้นตัวที่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนมากๆ  ในเวลาอันสั้น  มาเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ  หรือไม่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นเลย  เพื่อที่จะ “รักษาความมั่งคั่ง” ของเราไว้ได้

การรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ให้เท่ากับระดับเดิมหรือใกล้เคียงนั้น  วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือ  ถือเงินสดให้มากที่สุด  อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่ถึงระดับหนึ่งก็มักจะพบว่าการแปลงพอร์ตหุ้นให้เป็นเงินสดโดยที่ราคาหรือมูลค่าไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและสภาพคล่องของหุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะที่มีขนาดเล็กหายไปมาก  ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย

ดังนั้น  การเลือกหุ้นที่จะขายเพื่อเก็บเป็นเงินสดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ  หุ้นที่มีราคาแพงโดยเฉพาะที่มีค่า PE สูงและกำไรในช่วงประมาณ 1-2 ไตรมาศข้างหน้าคงไม่โตนัก  จึงเป็นเป้าหมายที่ควรจะขายออกไป  อย่างไรก็ตาม  การขายก็ต้องทยอยทำและต้องไม่รีบจนเกินไปที่อาจจะทำให้คนอื่น “ตกใจ” เมื่อเห็นว่าหุ้นตกแรงและขายตาม  ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นตกลงไปอีกเป็นลูกโซ่และตกในระดับ  “คอร์เนอร์แตก” ซึ่งจะทำให้พอร์ตเสียหายหนัก

หุ้นราคาไม่แพงแต่ไม่มีอะไรโดดเด่นและที่สำคัญก็ไม่ได้จ่ายปันผลมากเทียบกับราคาหุ้น  เช่น  ให้ปันผลตอบแทนแค่ 3-4% ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ก็ต้องถือว่าเป็นเป้าหมายที่ควรจะถูกขายออกไปเพื่อเก็บเป็นเงินสดจะดีกว่า  แม้ว่าเงินสดจะให้ผลตอบแทนแค่ 1%  แต่ความเสี่ยงที่จะลดลงไม่มี   ในขณะที่หุ้นตัวนั้น  ที่เราอาจจะมองว่าดีพอสมควรและมีปันผล  “พอใช้ได้” ค่า PE ก็แค่ 10 เท่าต้น ๆ  แต่ในความเห็นของผมแล้ว  ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกลงไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับตลาดหุ้นในช่วงไม่นานนับจากนี้อาจจะมากกว่าที่เราคิด  ดังนั้น  ถ้าคิดจะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้  เราก็อาจจะต้องยอมขายหุ้นทิ้ง

หุ้นที่ถูกมาก ค่า PE ปกติต่ำกว่า 10 เท่าและ/หรือปันผลตอบแทนปีละ 5-6% ขึ้นไปต่อเนื่องหลายปี  เป็นหุ้นที่อาจจะถือไว้ได้และยังสามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้แม้ในยามที่สภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยอย่างปัจจุบัน  ผมเองมีความเชื่อว่า  หากการจ่ายปันผลยังทำได้เท่าเดิมก็อาจจะมีคนเข้าไปซื้อลงทุนกินปันผลแม้ว่าหุ้นจะตกลงมา  ซึ่งนั่นก็จะทำให้หุ้นไม่ค่อยตกหรือตกลงมาไม่แรงมาก  อาจจะไม่เกิน 5-6%  ซึ่งก็จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่เป็นลบหรือลดลงไม่มาก  อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นอีก  ก็ควรจะต้องดูว่าหนี้ของบริษัทก็มีน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย  เพราะบริษัทที่มีหนี้น้อยนั้น  จะยืนอยู่ได้ในยามที่ธุรกิจอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก

หุ้นที่อยู่ในประเทศที่เติบโตเร็วและอนาคตก็ยังคงเติบโตเร็วต่อไป  อย่างตลาดหุ้นเวียตนามนั้น  ถ้ามีราคาถูก  เช่นมีค่า PE 10-15 เท่า  และก็ไม่ได้เป็นธุรกิจเก่าที่ไม่โตแล้ว  หรือไม่ได้เป็นธุรกิจของรัฐที่มีการบริหารงานที่ไม่ได้มาตรฐาน  ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่ราคาจะลดลงแรงน้อยกว่าในตลาดหุ้นไทยมาก  เหตุผลก็คือ  กิจการมักจะโตไปกับเศรษฐกิจ  และการแข่งขันจากคู่แข่งก็จะไม่มาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขามักจะอยู่ในกลุ่มของ “ผู้ชนะ” ที่กำลังแข่งกับธุรกิจรุ่นเก่าหรือบริษัทของรัฐที่มีความสามารถด้อยกว่า

ในกรณีของหุ้นที่ไม่ได้มีราคาถูก  แต่มีคุณสมบัติสูงมากและกำลังเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อก  ในตลาดหุ้นโตเร็วอย่างเวียตนามนั้น  ถ้าหุ้นมีค่า PE ในระดับไม่เกิน 25 เท่า  และการเติบโตของรายได้หรือกำไรยังคงเป็นเลข 2 หลัก  ผมคิดว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะตกมาแรงและทำลายความมั่งคั่งลงมากนั้น  น่าจะน้อย  เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ถ้าการเติบโตของประเทศยังไปได้ดี  ความต้องการที่จะเข้าไปถือหุ้นลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และนั่นทำให้หุ้นไม่ควรจะตกลงมาแรงมากแม้ว่าบางทีอาจจะเกิดภาวะวิกฤติในตลาดระดับโลกก็ตาม

ดังนั้น  ในกรณีของหุ้นที่อยู่ในตลาดที่กำลังเติบโตดังกล่าว  การลงทุนในหุ้นน่าจะเป็นกลยุทธในการรักษาความมั่งคั่งของเราได้  ว่าที่จริงมีโอกาสสูงที่หุ้นในตลาดแบบนั้นจะกลายเป็น “หุ้นนายแบก” ที่คอย  “ชดเชย” การขาดทุนในตลาดหุ้นไทย  ทำให้เราสามารถรักษาความมั่งคั่งไม่ให้ลดลงได้แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะ  “แย่มาก”

“หุ้นโลก” ซึ่งก็คือหุ้นระดับซุปเปอร์สต็อกที่ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกานั้น  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  และหุ้นก็มีราคาค่อนข้างแพง  ค่า PE ระดับ 30 เท่า  ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่ไม่สามารถจะไว้ใจได้ว่าจะช่วยรักษาความมั่งคั่งของเราได้ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เหตุผลส่วนหนึ่งที่สำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นซึ่งสามารถกระทบกับหุ้นได้อย่างรุนแรง  บางทีในชั่วข้ามคืน

ดังนั้น  เราคงต้องเลือกว่าจะลงทุนในหุ้นแบบไหน  ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะลงทุนผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีโอกาสถูกกระทบโดยปัจจัยทางเทคโนโลยีและการเมืองระหว่างประเทศสูง  และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคง  อาจจะด้วยเพราะหุ้นมี “Network Effect” หรือเป็นหุ้นที่อิงอยู่กับความคิดหรือจิตใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากกว่า  และก็ยังต้องมีราคาไม่แพงเกินไป

ทั้งหมดนั้นก็คือกลยุทธการเลือกหุ้นเป็นรายตัวในตลาดหุ้นทั้งสามคือ  ตลาดหุ้นไทย  ตลาดหุ้นในตลาดเติบโตแบบเวียดนาม  และในตลาดหุ้นโลก  ในแบบที่จะรักษาความมั่งคั่งไว้ไม่ให้ลดลงเป็นหลัก  เช่นเดียวกับกลยุทธถือเงินสดให้มากขึ้นซึ่งก็จะลดความเสี่ยงในการที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงด้วย  อย่างไรก็ตาม  การถือเงินสดที่มากเกินไปก็อาจจะไม่เหมาะสม  เพราะโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะหมดไปด้วย

ข้อเตือนใจสุดท้ายก็คือ  โดยธรรมชาติแล้ว  เมื่อรวยพอแล้ว  ถ้ารวยเพิ่มอีก  ส่วนที่เพิ่มนั้นให้ความพึงพอใจน้อยลงเรื่อย ๆ   แต่ถ้ารวยอยู่แล้วเกิด “จนลง” หรือความมั่งคั่งน้อยลง ความเจ็บปวดที่จะได้รับนั้น  จะรุนแรงเป็น 2 เท่าของความพึงพอใจที่ได้รับเมื่อรวยขึ้น  ดังนั้น  อย่าโลภคิดถึงแต่ความมั่งคั่งที่จะเพิ่มขึ้น  แต่จงคิดถึงวิธีที่จะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ตลอดไปมากกว่า  ซึ่งก็ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ และถือเงินสด  แต่เป็นการลงทุนที่ยึดความปลอดภัยโดยเฉพาะในยามที่ตลาดไม่เอื้ออำนวยเป็นหลัก

TAGS: #ดร.นิเวศน์ #การลงทุน #SET #หุ้น