TMAN เคาะราคา IPO 16.30 บาท/หุ้น จองซื้อวันที่ 10-11 และ 15 ตุลาคม 67 นี้

TMAN เคาะราคา IPO 16.30 บาท/หุ้น จองซื้อวันที่ 10-11 และ 15 ตุลาคม 67 นี้
TMAN ประกาศราคาเสนอขาย IPO หุ้นละ 16.30 บาท จองซื้อวันที่ 10-11 และ 15 ตุลาคม 67 นี้ วางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพและ/หรือขยายกำลังการผลิต ขยายส่วนงาน R&D และขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมยาและนวัตกรรม

ทินพันธุ์ หวั่งหลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า TMAN ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 16.30 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 10-11 และ 15 ตุลาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “TMAN” ภายในเดือนตุลาคมนี้ 

โดย TMAN จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 102 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.75 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 71,430,000 หุ้น และ 2) หุ้นสามัญโดยผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 30,570,000 หุ้น โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินดังนี้ 

1. ใช้เป็นเงินทุนในการขยายกำลังการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต หรือการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมยาและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ 

2. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืม

เพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของผู้ถือหุ้นและผู้ก่อตั้งบริษัทฯ กลุ่มครอบครัวฐานะโชติพันธ์มีแผนตกลงและยินยอมโดยความสมัครใจที่จะไม่ขาย หรือโอนด้วยวิธีการใดๆ โดยคิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 78.0 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 19.5 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญ เป็นระยะเวลา 180 วัน นับจากวันที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Voluntary Share Lockup)  ซึ่งเมื่อรวมกับหุ้นสามัญที่ถูกห้ามขายตามที่กำหนดในข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ (Regulatory Lockup) โดยคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 220.0 ล้านหุ้น หรือเท่ากับร้อยละ 55.0 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญ จะถือเป็นการ Lockup ทั้งหมด จำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 298.0 ล้านหุ้น ร้อยละ 74.5 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญ

“การกำหนดราคาหุ้นสามัญที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ได้มีการพิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันและนิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ในแต่ละระดับราคา โดยการกำหนดราคาสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานที่มั่นคงของกลุ่มบริษัท”  ทินพันธุ์ กล่าว

ด้านประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มบริษัท วางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

 1) มุ่งเน้นสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับการยอมรับ 

2) ขยายฐานลูกค้ากลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล ห่วงโซ่ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมยา 

3) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน 

4) เพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM/ODM) 5) เพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจัดจำหน่าย  

6) เพิ่มการเติบโตของรายได้จากการขยายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ 

7) สรรหาบุคลากรสำคัญที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อรองรับการดำเนินงานในอนาคต

8) ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดโอกาสให้ TMAN เพิ่มขีดความสามารถวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มบริษัทให้รวดเร็วและควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มกำลังการผลิต ตลอดจนยกระดับมาตรฐานการผลิตเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการลงทุนเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กลุ่มบริษัทขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน” ประพล กล่าว

ด้านตรัส อบสุวรรณ  ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ  TMAN กล่าวว่า  ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 กลุ่มบริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพรวม 226 แบรนด์ และรับจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก 16 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 842 ผลิตภัณฑ์ (SKUs) ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 1,105.2 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มโรคทางเดินหายใจ การขยายตัวของตลาดต่างประเทศและความต้องการใช้ในประเทศ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อาทิ เม็ดอมบรรเทาอาการเจ็บคอแบรนด์ Propoliz และยาอมแก้เจ็บคอแบรนด์ Basina รวมทั้งรายได้จากกลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) จากความต้องการกลุ่มลูกค้าร้านขายยาเพิ่มขึ้น และรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ยาลดไขมันในเลือดแบรนด์ ATTOR ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งในการคิคค้น วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

ด้านธนัท พลอยดนัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ TMAN กล่าวว่า การจำหน่ายยาในประเทศไทยยังมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2566 – 2568  คาดว่ามูลค่าจำหน่ายยาจะเติบโตเฉลี่ยที่ ร้อยละ 5.0 – ร้อยละ 6.0 ต่อปี อ้างอิงจาก Krungsri Research โดยมีปัจจัยจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการในไทยมากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประชาชน ทำให้ความต้องการบริโภคยาเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการจำหน่ายยาผ่านโรงพยาบาลจะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6.3 ต่อปี ส่วนมูลค่าการจำหน่ายผ่านร้านขายยา (OTC) จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.0 ต่อปี 

นอกจากนี้ จากข้อมูลการคาดการณ์จาก Euromonitor อุตสากรรมสุขภาพยังได้รับปัจจัยบวกจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ มลภาวะที่เพิ่มขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย โดยคาดว่าจะสนับสนุนตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Vitamins and Dietary Supplements) เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8.4 ต่อปี ในช่วงปี 2564 – 2568 จึงเป็นโอกาสเติบโตของกลุ่มบริษัท

สำหรับแผนการลงทุนรองรับการเติบโตในอนาคต คาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 777.5 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร 8 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมโดยประมาณไม่เกิน 298.5 ล้านบาท ประกอบด้วย 

1) โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบัน โดยลงทุนติดตั้งเครื่องจักร รวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยาแผนปัจจุบันประเภท เม็ด น้ำ และครีม 

2) โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยลงทุนซื้อเครื่องจักรสำหรับการบรรจุผลิตภัณฑ์สมุนไพรลงบรรจุภัณฑ์ 

3) โครงการขยายส่วนงานวิจัยและพัฒนา 

4) โครงการก่อสร้างคลังสินค้าและอาคารสำนักงานของบริษัท เฮเว่น เฮิร์บ จำกัด 

5) โครงการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยการลงทุนซื้อเครื่องจักรดังกล่าวจะช่วยให้กลุ่มบริษัทสามารถผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทรูปแบบของแข็ง (Solid Dosage Form)

6) โครงการพัฒนาระบบงานขายบนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ  

7) โครงการซื้อเครื่องมือควบคุมคุณภาพการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบัน

8) โครงการซื้อเครื่องมือควบคุมคุณภาพการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและปรับปรุงพื้นที่เพื่อติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบน้ำ

ขณะเดียวกัน โครงการลงทุนในอนาคตจำนวน 5 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมโดยประมาณไม่เกิน 479.0 ล้านบาท 

1) โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ 

2) โครงการขยายกำลังการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบันครั้งที่ 1 โดยลงทุนปรับปรุงอาคารของโรงงานผลิต รวมถึงติดตั้งเครื่องจักร และระบบต่างๆ สำหรับการทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ตัวอย่างและผลิตภัณฑ์รูปแบบของแข็ง (Solid Dosage Form) 

3) โครงการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) 

4) โครงการปรับปรุงพื้นที่การผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยจะลงทุนปรับปรุงพื้นที่เก็บยา ปรับปรุงอาคารสำหรับการจัดเก็บวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และปรับปรุงพื้นที่ตามสายการผลิต 

5) โครงการขยายกำลังการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบันครั้งที่ 2 โดยโครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)

TAGS: #TMAN