SABUY ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มุ่งเน้น 5 ธุรกิจหลัก พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนใหม่

SABUY ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มุ่งเน้น 5 ธุรกิจหลัก พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนใหม่
SABUY เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มุ่งเน้น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก SABUY, SBNEXT, PTECH, SABUY SPEED และ Asphere พร้อมตั้งเป้าเดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจใหม่ครั้งใหญ่

ชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร ลดค่าใช้จ่ายและลดความซ้ำซ้อน กลุ่มจะมุ่งเน้นและบริหารจัดการอย่างเข้มงวด โดยตัดสินใจปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ ซึ่งมุ่งเน้นธุรกิจหลัก 5 ตัวคือSABUY, SBNEXT, PTECH, SABUY SPEED (กลุ่มธุรกิจ Drop-Off) 

และ Asphere ขยายตลาดไปยัง segment อื่น 

 

รวมถึงขยายผลิตภัณฑ์ และการขยาย cross sell ภายในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคได้รอบด้านมากขึ้นนั้น จึงส่งผลให้กระแสรายได้ของบริษัทฯ (Revenue Momentum) ให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต และตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายพนักงานลงไปได้ประมาณ 200-250 ล้านบาท ในปี 2567 เช่น ค่าบุคลากรอาคารสถานที่ ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 35 ล้านบาท

ด้านผลประกอบการปี 2566 “กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อน โดยแบ่งเป็น

-รายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากธุรกิจ SPEED, SABUY Alliance, BzB,iSoftel และ Marketing Oops ในขณะที่ธุรกิจเดิมเช่น ตู้เติมเงินค่อนข้างตึงตัวอย่างต่อเนื่องประกอบกับรายได้ตู้เติมเงินจะมาจาก banking agent เพิ่มขึ้นทำให้รายได้ที่ SABUY Money เพิ่มขึ้นพอควร

-รายได้จากการขายอยู่ที่ 6.2 พันล้าน เพิ่มขึ้น 131% จากธุรกิจ SBNEXT, VDP, SABUY Market & Food,บัตรพลาสติค (PTECH), BzB, LOVLS    

-รายได้จากการให้บริการตามสัญญาและดอกเบี้ยรับอยู่ที่ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% โดยหลักจากธุรกิจLOVLS ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และ SBNEXT ที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว ในขณะที่ SBT ลดลงเล็กน้อย

แม้ว่าผลการขาดทุนในไตรมาส 4 ที่ 574 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดผลการขาดทุนในปี 2566 ที่ 190 ล้านบาท แต่เป็นผลมาจากสภาวะสภาพคล่องของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทในตลท. ส่งผลให้สถานการณ์ตลาดเงินและตลาดหุ้นกู้ที่บจ. หลายบริษัทไม่ชำระ หรือเลื่อนการชำระออกไป 

ประกอบกับธนาคารพาณิชย์คุมเข้มเรื่องการปล่อยสินเชื่อและคอยดูว่าบจ.ต่างๆ สามารถคืนหุ้นกู้ได้หรือไม่ SABUY จึงเลือกขายเงินลงทุนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (non-core) ตลอดจนธุรกิจที่อาจต้องใช้เวลาในการสร้างมูลค่า และได้ขายเงินลงทุน 12% ใน TKC ในไตรมาส 4/2566 และ 4% ที่เหลือในไตรมาส 1/2567 โดยมุ่งเน้นการรักษาสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการลงทุนดังกล่าวเป็นจำนวนประมาณ 640ล้านบาทและมีการบันทึกไว้ในไตรมาส 4/2566 แล้ว

TAGS: #SABUY