ร่วมยินดี 44 ผลงานรับรางวัลลูกโลกสีเขียว“จุดพลังเปลี่ยนโลก”

ร่วมยินดี 44 ผลงานรับรางวัลลูกโลกสีเขียว“จุดพลังเปลี่ยนโลก”
สถาบันลูกโลกสีเขียว มอบรางวัลลูกโลกสีเขียวครั้งที่ 21  กับ 44 ผลงาน ตอบโจทย์สะท้อนการปรับตัว ปรับเปลี่ยน และจัดการกับวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม

24 ปีสำหรับการขับเคลื่อน‘รางวัลลูกโลกสีเขียว’ จัดขึ้น โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อยกย่อง เชิดชู ผู้คนที่เสียสละพลังกาย พลังใจ พลังปัญญา ดูแล ดินน้ำป่า ทำให้ประเทศเรายังหลงเหลือทรัพยากรธรรมชาติ ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์

เส้นทางของรางวัลลูกโลกสีเขียว นอกจากการยกย่องผู้ที่โดดเด่นในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว องค์ความรู้จากผลงานดังกล่าว นำไปขยายผล ศึกษา ต่อยอด นำไประยุกต์ใช้ในพื้นที่ต่างๆ

ในปี 2553 โครงการ “รางวัลลูกโลกสีเขียว”  ได้ถูกจัดตั้งเป็น “สถาบันลูกโลกสีเขียว” เพื่อสนองต่อภารกิจใหม่ในการศึกษา วิจัย ถอดความรู้เพื่อยืนยันคุณค่าองค์ความรู้ของภูมิปัญญาชุมชน เพื่อเผยแพร่สู่สังคม

ทั้งนี้สถาบันลูกโลกสีเขียวนับเป็นองค์กรสะพานเชื่อมเพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์ร่วมกับเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมทั้งระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ซึ่งหลายพื้นที่ได้ขยายเครือข่ายการทำงานด้านการอนุรักษ์จนมีความเข้มแข็ง มีการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน การแลกเปลี่ยนความคิด ภูมิปัญญา แนวทาง วิธีการ รูปแบบ ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟู และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สามารถเป็นพื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้เพื่อนำไปขยายผลกับพื้นที่อื่นๆต่อไป

ปัจจุบันมีเครือข่ายรางวัลลูกโลกสีเขียวทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 804 ผลงานฯ จาก 7 ประเภทผลงานฯ รวมพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 2 ล้านกว่าไร่ ในปีนี้สถาบันลูกโลกสีเขียวได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการเป็น “องค์กรส่งเสริมและเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายการอนุรักษ์บนฐานธรรมชาติและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน” เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องเท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม

การมอบรางวัลลูกโลกร้อนสีเขียวครั้งที่ 21 มีผลงานที่ได้รับรางวัลรวม 44 ผลงาน  ประกอบด้วย รางวัลประเภทชุมชน 8 ผลงาน รางวัลประเภทบุคคล 3 ผลงาน  รางวัลประเภทกลุ่มเยาวชน   8 ผลงาน   รางวัลประเภทงานเขียน 3 ผลงานรางวัลประเภทความเรียงเยาวชน 8 ผลงาน  รางวัลประเภทสื่อมวลชน 1 ผลงาน และรางวัลประเภท สิปปนนท์  เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน 13 ผลงาน  โดยผลงานทั้งหมดสะท้อนความสามารถในการปรับตัว ปรับเปลี่ยน และจัดการกับวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมและพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน 

ดร.สุเมธ   ตันติเวชกุล  ประธานกรรมการสถาบันลูกโลกสีเขียว  กล่าวว่า กว่า  2 ทศวรรษ ที่รางวัลลูกโลกสีเขียวได้ทำหน้าที่ในการค้นหา ยกย่องและเป็นกำลังใจให้กับบุคคล กลุ่มคน ชุมชนที่เข้มแข็ง พลังเล็กๆ ร่วมกันดูแลโลก  รักษาสิ่งแวดล้อม โดยปีนี้ผลงานอันทรงคุณค่าทั้ง 44 ผลงาน ทุกผลงานมีคุณค่าต่อสังคมและประเทศเป็นอย่างยิ่ง 

“ขอชื่นชมผู้ที่ไดรับรางวัลลูกโลกสีเขียวทุกท่าน เสียสละ อุทิศกายและใจในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม จนเกิดผลเป็นที่ประจักษ์ ยิ่งในสถานการณ์ที่โลกรวน  และภัยธรรมชาติอันเลวร้ายผลงานทั้งหลายนี้ แสดงให้เห็นถึงทางออก ทางรอด และความหวัง ช่วยจุดพลังเปลี่ยนโลก”

ทั้งนี้ท่ามกลางวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ งานรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และดูแลสิ่งแวดล้อม    จะทวีความสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันนี้ ปัญหาโลกร้อน  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาสิ่งแวดล้อม   ถือเป็นปัญหาสำคัญ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมนั้นถือเป็นหนทางแก้ไข เป็นโจทย์หลักระดับโลกที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่พยายามไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส   ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ด้านนายอรรถพล  ฤกษ์พิบูลย์   ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน)   กล่าวว่า  ปตท.ในฐานะองค์กรพลังงานของไทยได้ดำเนินภารกิจเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศ  ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม  ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานสถาบันลูกโลกสีเขียว ตั้งแต่เริ่มต้น  ขณะที่มีส่วนสำคัญต่อการผลักดันประเทศไทยและโลก สู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้รางวัลลูกโลกสีเขียวมอบให้แก่บุคคลและชุมชนที่รักษา ดินน้ำป่า  ซึ่งป่าเป็นแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ทางธรรมชาติที่ดีที่สุด ดังนั้นการฟื้นฟู รักษา และปลูกป่าเพิ่มขึ้น   รวมถึงการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาวิกฤตโลก

ขณะเดียวกันปตท. เร่งดำเนินธุรกิจให้มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ด้วยการมุ่งเน้นในมิติต่างๆ 3 ด้านคือ 1. เร่งปรับ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต  2.เร่งเปลี่ยน เพิ่มการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด  และธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน  และ3. เร่งปลูก เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนไทย ช่วยเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ ด้วยวิธีทางธรรมชาติ  โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประสานความร่วมมือกับกลุ่มปตท. ในการเพิ่มพื้นที่ป่ารวม 2 ล้านไร่ ซึ่งหวังว่า การดำเนินงานต่างๆจะช่วยแก้ไขและบรรเทาวิกฤตทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น

สำหรับการจัดงานในปีนี้  มีผลงานที่ได้รับรางวัลรวม 44 ผลงาน  ประกอบด้วย รางวัลประเภทชุมชน 8 ผลงาน รางวัลประเภทบุคคล 3 ผลงาน  รางวัลประเภทกลุ่มเยาวชน   8 ผลงาน   รางวัลประเภทงานเขียน 3 ผลงานรางวัลประเภทความเรียงเยาวชน 8 ผลงาน  รางวัลประเภทสื่อมวลชน 1 ผลงาน และรางวัลประเภท สิปปนนท์  เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน 13 ผลงาน  โดยผลงานทั้งหมดสะท้อนความสามารถในการปรับตัว ปรับเปลี่ยน และจัดการกับวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมและพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน 

ด้านดร.รอยล จิตรดอน กรรมการสถาบันลูกโลกสีเขียว ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ“วิกฤตน้ำในอนาคต” ว่า  สิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่9 รับสั่งไว้ ต้องปรับตัวในเรื่อการจัดการน้ำ  เดิมเราคิดแต่ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างเดียว แต่ฤดูกาลมันเปลี่ยนไปด้วย ปีที่แล้วฝนตกเดือนมี.ค. ปีนี้ปลายมิ.ย. ฝนเพิ่งมา

อย่างไรก็ตามประเทศไทยน้ำท่วมพื้นที่เกษตรเสียหายปีละ1.2 หมื่นล้านไร่  ทั้งๆที่ฝนของไทยเฉลี่ยบวกลบ 20 % สิ่งที่เจอคือน้ำไม่เข้าเขื่อน ปัจจุบันมีอ่างเก็บน้ำได้รวม 8 หมื่นล้าบลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อปี แต่ปีที่แย่สที่สุดมีน้ำเข้าเขื่อนเพียง 2 หมื่นล้านลบ.ม. เท่านั้น เนื่องจากเอาพื้นที่เหนือเขื่อนไปทำรีสอร์ทส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งผลให้ป่าไม้หายไป ขณะที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น จากเดิม 6-7 หมื่นล้านลบ.ม. มาอยู่ที่  1.5 แสนล้านลบ.มซึ่งสะท้อนว่ายังไม่ได้มีการเตรียมน้ำไว้รองรับให้เพียงพอ

“สิ่งที่น่ากลัวคือภาวะโลกร้อนมันเปลี่ยนไปมาก โลกไม่เหมือนเดิม ตอนนี้การเพิ่มแหล่งเก็บน้ำไม่ใช่คำตอบ เพราะมีพื้นที่ไม่พอ  แต่ควรเปลี่ยนที่เกษตรที่ไม่ได้ใช้มาเป็นพื้นที่เก็บน้ำ การเปลี่ยนป่าดิบแล้งให้เป็นป่าดิบชื้น ขณะเดียวกันต้องทำความเข้าใจด้วย่าเกษตรทฤษฎีใหม่กับเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้สอนให้เราจนแต่สอนให้อยู่แบบธรรมชาติเข้าใจความเสี่ยง สอนให้รู้จักความมั่นคงในระยะยาว”

ขณะที่เวทีเสวนาด้านสิ่งแวดล้อม “การจัดการทรัพยากรธรรมชาติตามวิถีถิ่น” ได้เชิญผู้แทนชุมชนที่ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวมาถ่ายทอดการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยผู้แทนชุมชนบ้านโคกเมือง จ.สงขลา จากโครงการทะเลหน้าบ้าน : การฟื้นคืนทะเลสาบสงขลาและการสร้างป่าชายฝั่ง กล่าวว่า เดิมพื้นที่มีปัญหาชายฝั่งถูกกัดเซาะ  เคยทดลองนำไม้โกงกางมาปลูกป่าชายเลนแต่ไม่รอดตายหมด  มีคนแนะนำให้ปลูกต้นลำพูวางแนวระยะห่าง 40 เมตรต่อต้น ใช้เวลา 1-2 ปีเห็นผลเนื่องจากมีรากหายใจ ทำให้สามารถปลูกป่าโกงกางและไม้ทุกชนิดได้

ด้านผู้แทนชุมชนบ้านอาลอ – โดนแบน จ.สุรินทร์ระบบนิเวศจากโครงการ ป่าริมน้ำ : กลไกการจัดการทรัพยากร กล่าวว่า เดิมป่าเคยถูกทำลายปี 2529 ตัดไปทำไม้หมอน  คนในพื้นที่ร่วมกันเอาป่าผืนนี้คืนกลับมา เพราะเป็นพื้นที่ป่าสงวน  ปัจจุบันมีพื้นที่ป่านับหมื่นไร่ ต้องมีการบริหารจัดการเรื่องป่าชุมชน

ขณะที่ผู้แทนชุมชนบ้านแม่กองคา จ.แม่ฮ่องสอน  จากโครงการเศรษฐกิจสีเขียว : ระบบการผลิตที่สอดคล้องกับทรัพยากรและบริบทพื้นถิ่น กล่าวว่าการปลูกพืชในพื้นที่ต้องปลอดสารเคมี  โดยเป็นการทำไร่หมุนเวียนทุกคนในชุมชนช่วยเหลือกัน มีการทำพื้นที่แนวกันไฟ  และห้ามไม่ให้ใครทำพื้นที่เสียหาย  พืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้หลักคือพริกกะเหรี่ยง ส่วนข้าวปลูกเพื่อกินภายในครอบครัวเป็นหลัก

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีคนภายนอกพยายามส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดแต่ทางชุมชนไม่เห็นด้วย เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกต้องไปซื้อกับบริษัทซึ่งคลุกยา ต้องใช้ปุ๋ย  หากปลูกจะกระทบต่อพืชอื่นๆ  นอกจากนี้การจัดพื้นที่เพาะปลูกต้องเป็นขั้นบันไดความลาดชันจะทำให้ดินถล่มลงมา

ส่วนจ่าเอกเขียน สร้อยสม  จากโครงการหญ้าแฝก : พืชมหัศจรรย์เพิ่มพลังดินและน้ำ กล่าวว่า  รัชกาลที่ 9 ท่านเคยรับสั่งว่าปลูกหญ้าแฝกจะดีมาก โดยเฉพาะการพัฒนาดินให้มีคุณภาพ ทั้งดินแข็ง ดินเค็ม ที่อัดแน่น สิ่งที่เราเรียนรู้คือ การที่จะเอาหญ้าแฝกมาปลูกให้อยู่รอดคือ ต้องมีปุ๋ยอินทรีย์  จะทำอย่างไรให้แฝกที่ปลูกลงไป ช่วยเหลือตัวเองได้  ช่วยระเบิดดินดานได้  ต้องเลือกสายพันธุ์แฝกให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย  นอกจากนี้ต้องทำพื้นที่ให้เป็นสีเขียว  ปลูกแฝกล้อมไม้ผล  ช่วยสร้างดิน

 

TAGS: #สถาบันลูกโลกสีเขียว #รางวัลลูกโลกสีเขียว #ภาวะโลกร้อน #ปตท.