กกร.คงเป้าจีดีพี 3.5 % เกาะติดปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งค่าไฟ-ดอกเบี้ย-ค่าเงินบาท กระทบต้นทุนเอกชน ความหวังเดียวลุ้นท่องเที่ยวฟื้นตัวไตรมาส 2
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า ที่ประชุมเป็นห่วงเรื่องต้นทุนการผลิตที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะราคาค่าไฟฟ้า แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องท่ามกลางค่าเงินบาทที่แข็งค่า อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ และราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ภาครัฐต้องมีมาตรการสนับสนุนเพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานให้เพียงพอรองรับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังจากจีนเปิดประเทศ
ทั้งนี้กกร.ได้เสนอความเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้า 2 เรื่อง คือ 1.เสนอปรับลดค่าเอฟที งวดที่ 2 เดือน พ.ค – สค. เนื่องจากมีปัจจัยหนุนในด้านการเพิ่มขึ้นของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และราคาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มลดลง
2. เห็นชอบในแนวทางการจัดตั้ง กรอ. พลังงาน และให้สำนักงาน กกร. จัดทำโครงสร้างรูปแบบการทำงาน เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบเพื่อพิจารณาจัดตั้งต่อไป และระหว่างการจัดตั้ง กรอ. พลังงาน ขอให้มีคณะทำงาน Task Force ด้านพลังงาน (เฉพาะกิจ) เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและสร้างความเข้าใจในด้านพลังงาน
รวมถึงหารือมาตรการระยะสั้น-กลาง-ยาว โดยมีตัวแทน 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) สำนักกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.)
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดเริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยดัชนีทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งในฝั่งภาคการผลิตและภาคบริการกลับมาขยายตัวได้ในเดือนมกราคม โดยเฉพาะในภาคบริการที่สะท้อนการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน สอดคล้องกับการประเมินล่าสุดของ IMF ที่คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ 5.2% ในปี 2566 สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 4.4%
ขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มเติบโต 2.9% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.7% ทั้งนี้ คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ประกอบกับกิจกรรมการผลิตที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจะช่วยพยุงภาคการส่งออกสินค้าในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วและมากกว่าสกุล โดยค่าเงินแข็งค่า 15% ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และแข็งค่าถึง 5% ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งมากและเร็วกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคอย่างชัดเจน เป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในภาวะที่ความต้องการสินค้าชะลอตัว
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยมีแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวแต่มีความเสี่ยงจากภาคการส่งออก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจมากกว่า 22.5 ล้านคนที่ประเมินไว้เดิม จากนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด
ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 2
อย่างไรตามการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงต้นปี และต้องติดตามปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการแข็งค่าของค่าเงินบาท การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งแม้ว่าจีนจะฟื้นตัวได้เร็วแต่อาจไม่เพียงพอที่จะทดแทนความต้องการสินค้าจากประเทศหลักอื่นๆ โดยกกร.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 จีดีพีอยู่ที่ 3-3.5 % ส่งออก 1-2 % เงินเฟ้อ 2.7-3.2 %