นายกรัฐมนตรี โชว์วิชชั่น 3 รีเซ็ตประเทศ ด้านความมั่นคง-เศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อม ปักธงเบียดเวียดนามขึ้นผู้นำภูมิภาคสู่การเติบโตต่ออย่างยั่งยืน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในการปาฐกถาพิเศษ THE FUTURE DIRECTION OF THAILAND 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน…ประเทศไทยไปทางไหน ? ว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทุกท่าน ซึ่งรางวัลนี้จะเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายรับทราบถึงความพร้อม และความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่เรายังมีความหวังและมีอนาคตอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลานี้ ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความท้าทายที่สุดของประเทศไทย ที่พี่น้องประชาชน ชาวไทยทุกคน กำลังตั้งคำถามว่า ประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ เราจะรอดหรือไม่กับสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ในปีหน้าจะมีวิกฤติอะไรอีกหรือไม่ จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สำหรับการเลือกตั้งนั้น ยืนยันว่า ในปีหน้าจะมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน และจะมีการยุบสภา
ขณะที่ยังมีความกังวลว่า บัณฑิตเกิดใหม่จะมีงานทำหรือไม่ จะกล้าที่จะมีลูกหรือไม่ในโลกที่มีความผันผวนเช่นปัจจุบัน โดยยอมรับว่า โลกทุกวันนี้อยู่ยากกว่าที่ผ่านมา โดยสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกอุบัติใหม่ ซึ่งทั้งหมดมีแค่คำว่าสงครามเท่านั้นที่เราคุ้นชิน โดยคำอื่นล้วนเป็นคำใหม่ที่ไทยกำลังเผชิญ ทั้งเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั้งหมดมาพร้อมกับเทคโนโลยี นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของภาคอุคสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่มีผลกระทบต่อโลกของเรา และยังมีการปฏิวัติทางเทคโนโลยี นวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกันและกำลังเปลี่ยนรูปเศรษฐกิจของโลก โดยมองว่า ประเทศที่ปรับตัวช้าจะไม่เพียงสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้พูดคุยถึงเรื่องการรีเซ็ตโครงสร้างประเทศ และจะ recover เศรษฐกิจของไทย จึงเป็นโจทย์ที่สะท้อนความเป็นจริงว่า ไทยจะต้องปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์ต่ออนาคตอีกต่อไป และต้องวางรากฐานใหม่ เพื่อให้ประเทศไทย ย่างก้าวไปต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ
“คำว่า รีเซ็ต หมายถึงรีเซ็ตวิธีคิดของเรา เราต้องกลับมาทบทวนสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันและกลับมาถามว่า ยังจำเป็นไหม ยังได้ผลไหม ยังเหมาะไหมกับการเปลี่ยนแปลงไปของโลกหรือไม่ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผมก็อยู่ภาคเอกชน ผมเคยเห็นองค์กรที่เติบโตเพราะกล้าปรับ และก็เห็นองค์กรที่ล่มสลาย เพราะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราคิดว่ามันจะไม่มีวันเจ๊งก็เจ๊งไปเยอะ และสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะโตได้ก็โตขึ้นมา แม้แต่ภาคการเมือง พรรคการเมืองไหนไม่ปรับตัว ก็โดนเรียกว่าพรรคไดโนเสาร์ และในที่สุด ก็ล้มหายตายจากกันไป”นายอนุทิน กล่าว
สำหรับวันนี้ ประเทศไทยจะต้องคิดเหมือนองค์กรที่เปลี่ยนระบบการทำงานทั้งโครงสร้าง แต่ความเป็นประเทศมันต่างจากความเป็นบริษัท เพราะบริษัท อาจมีกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ความเป็นประเทศนั้น เป้าหมายสูงสุด คือ ความมั่นคงในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการต่างประเทศ ซึ่งจะต้องรักษาสมดุลให้ได้ เพื่อไม่ให้มิติใดมิติหนึ่งตกหล่นลงไป หรือเป็นตัวดึงถ่วงอีกมิติหนึ่ง
ดังนั้น การรีเซ็ตประเทศไม่ใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนนโยบาย แต่คือ การเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือ ซึ่งเราจะต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชน ที่จะต้องปรับตัว และให้ความร่วมมือไปพร้อมกัน
สำหรับในส่วนของภาครัฐบาล ที่มีตน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น สิ่งที่ต้องรีเซ็ต เพื่อวางรากฐานใหม่ให้กับประเทศ ประกอบด้วยดังนี้
1.การรีเซ็ต ด้านความมั่นคง ก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินหรือจะวิ่งต่อไปได้ ความมั่นคงของประเทศจะต้องมีความชัดเจน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยรัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้พลังทั้งการทูต การทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตพี่น้องประชาชน เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคตอันใกล้ และนี่คือความคาดหวังและทิศทางที่จะดำเนินต่อไป
ขณะเดียวกัน จะต้องจัดการกับปัญหาภัยทางสังคมที่กัดกล่อนประเทศ ทั้งยาเสพติด พนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางเทคโนโลยี เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการทำลายชีวิตของประชาชนในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกท่าน โดยมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจของประเทศเราด้วย ดังนั้นจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกัน แบบเป็น Unitเดียวกัน บูรณาการ ยึดหลักนิติธรรมด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยกฎหมายของประเทศจะต้องมีความศักดิ์สิทธิไม่เลือกปฏิบัติ และต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น ซึ่งคือส่วนหนึ่งที่เป็นต้นทุนแฝง อยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศเรา และ มีผลกระทบต่อผู้เป็นผู้ประกอบการไม่มากก็น้อย
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการสมัครเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD หรือ Organisation for Economic Co-operation and developmentซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก ที่หากประเทศไหนได้เข้าเป็นสมาชิกได้ จะเป็นการยกระดับเรตติ้งของประเทศเช่นกัน โดยจะเน้นในเกณฑ์เรื่องการมีกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ที่จะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไทยจะต้องเร่งยกเครื่องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆให้ได้มาตรฐานสากล และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในโลกยุคปัจจุบัน
2.รีเซ็ตด้านเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลชุดนี้กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นเรื่องสำคัญ คือ การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ส่งเสริมภาคเกษตรกร และการสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีฟื้นตัวได้ โดยในเรื่องการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนนั้น ได้เร่งดำเนินการลดค่าครองชีพต่างๆ รวมถึงลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง รวมถึงจัดให้มีโครงการต่างๆ ให้เข้าถึงทุกชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลความเจริญเ พื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเป็นนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจ ที่เป็นการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว ซึ่งได้ผ่านครม.เรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับฐานรากไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท โดยเป็นผลจากรัฐบาลใช้งบประมาณ 44,000 ล้านบาท และจากการเติมเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 20,000 กว่าล้านบาท โดยโครงการคนละครึ่งรัฐบาลเติม 44,000 ล้านบาท ประชาชนเติม 44,000 ล้านบาท รวมเป็น 88,000 ล้านบาท รวมโครงการบัตรสวัสดิการ จะส่งผลให้มีเม็ดเงินรวมกว่า 100,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันจะเสริมความมั่นคงทางการเกษตร และพลังงานด้วยแนวทาง smart farming โดยจะสนับสนุนเรื่องพลังงานพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และภาคครัวเรือนและภาคเกษตร รวมถึงบริหารราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ที่ช่วยทั้งชาวนา และทำให้อยู่ในกติกาใหม่ของโลกไปพร้อมกัน ส่วนเรื่องการเสริมศักยภาพของภาคเอกชนและเอสเอ็มอี รัฐบาลเข้าว่า ท่านกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้า สงครามการค้า และความผันผวนจากตลาดโลก ซึ่งไทยจะต้องเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน Agreement on Reciprocal Tax นอกจากนี้ยังผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง โดยการนำ AI และ Big DATA มาปรับใช้ในการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคตอย่างเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และกรีนเทคโนโลยี เป็นต้น
“วันนี้เราต้องตั้งเป้า เพราะวันนี้เราตามเวียดนาม และถือเป็นฝันร้ายของผม โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาค โดยพวกเราจะต้องช่วยกัน ซึ่งไม่เกินความสามารถ เรานำมาไกลมาก จนเราอาจจะรู้สึกอยู่ตัว และชะลอตัว ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และมีความสุขกับสิ่งที่เป็น แต่พอเผลอแปปเดียว เหมือนกระต่ายกับเต่า ที่พอตื่นขึ้นมาเขาแซงไปแล้ว ดังนั้นเราจะต้องกระโดดให้ทัน ด้วยประสบการณ์พื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทย ที่วางรากฐานมาอย่างยาวนาน พื้นฐานโครงสร้าง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ สังคม มั่นใจว่า เรายังสามารถเกิดใหม่ โตใหม่ได้ ซึ่งหวังว่าประเทศไทยของเราจะยังสามารถคงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจภูมิภาคได้ หากเราร่วมมือกัน”นายอนุทิน กล่าว
นอกจากนี้ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ กับการเผชิญกับสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ โดยวันนี้ประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพที่ดี รักษาทุกคน รักษาทุกที่ และรักษาทุกโรค แต่ทั้งนี้ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูง อย่างไรก็ตาม หากไทยยังมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจเชื่อว่ายังไปต่อได้อย่างแน่นอน และคนเหล่านี้จะไม่เป็นภาระของลูกหลาน โดยปัจจุบัน รัฐบาลอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนการเกษียณอายุราชการจากปัจจุบัน ที่ 60 ปี ซึ่งเชื่อว่า เรื่องดังกล่าวเอกชนมีระบบการรองรับอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เราจะไม่ปล่อยให้เกิดวิกฤติเด็กเกิดน้อยเป็นปัญหาของเราในอนาคต โดยจะร่วมกันส่งเสริมให้เด็กไทยเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีการพัฒนาทักษะ และกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเกิด
3.รีเซ็ตด้านสุดท้าย คือ ด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล ซึ่งโลกกำลังเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมาย Net Zero หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น 0 ในปี ค.ศ.2050 หรือ อีก 25 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยจะดำเนินการจัดตั้งให้มีตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน ผลักดันผลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม และเกษตรให้ได้ตามเป้า เพื่อให้ไทยมีที่ยืนในเวทีโลก ประชากรของไทยจะได้รับการยอมรับในทุกประเทศ ไม่ให้มีการ ตั้งกฎเกณฑ์ที่ทำให้เราเสียเปรียบในเรื่องการค้า นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดการอากาศสะอาด พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสะอาด สิ่งเหล่านี้ คือการลงทุนระยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคตของประเทศ ตามหลักของสหประชาชาติ
ขณะที่ดิจิทัล จะเร่งสร้างความเป็นรัฐบาลดิจิทัล เชื่อมโยงกันทุกระบบ เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันกันทั้งประเทศ ซึ่งจะมีผลคือ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น
“ไม่มีรัฐบาลใดจะรีเซ็ตประเทศได้เพียงลำพัง เราต้องการพลังจากภาครัฐ เอกชน แรงงาน พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งสื่อสารมวลชนด้วย ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพแต่ขาดระบบที่เปิดโอกาสให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานอย่างเต็มที่ วันนี้อยากให้เรากลับมามองประเทศไทยของเราด้วยสายตาที่เป็นมิตร จริงใจซึ่งกันและกันและ เราจะเห็นประเทศ ที่ไม่ใช่เพียงประเทศที่ต้องการฟื้นตัว แต่เป็นประเทศไทยเวอร์ชั่นที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน และแซงเพื่อนบ้าน เป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ เชื่อว่า ไม่เกินความสามารถ ยืนยัน ด้วยความมั่นใจมากกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทย”นายอนุทิน กล่าว