"บาทแข็ง-คู่แข่งได้เปรียบ! ส่งออกข้าว-มัน-ยาง สะดุดแรง รายได้เกษตรกรทรุด – ภาคเกษตรวอนรัฐเร่งแก้ ก่อนสูญเสียตลาดถาวร"
ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และอ้อย ที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่าง เวียดนาม อินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งค่าเงินของประเทศเหล่านี้กลับอ่อนตัวลง ทำให้ความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนพุ่งสูงถึง 10% จนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและรายได้เกษตรกรโดยตรง
ส.ข้าวฯ จี้รัฐเร่งแก้ – ขอชดเชยผลกระทบบาทแข็ง
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่มีค่าเงินอ่อนลงมากในช่วงเวลาเดียวกัน
สมาคมฯ จึงเรียกร้องให้ รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งดำเนินมาตรการควบคุมเสถียรภาพของค่าเงินบาท และเสนอให้ผลักดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน พร้อมขอให้มีการจัดตั้ง กองทุนหรือมาตรการชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ในระยะสั้น
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมฯ ย้ำว่า หากปล่อยให้บาทแข็งต่อไป จะส่งผลให้ไทยเสียเปรียบทางราคาอย่างชัดเจน โดยขณะนี้ ราคาข้าวไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 370-375 เหรียญฯ/ตัน ใกล้เคียงเวียดนาม (370 เหรียญฯ), อินเดีย (360 เหรียญฯ) และปากีสถาน (355 เหรียญฯ) แต่เมื่อรวมอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ข้าวไทยกลับมีราคาสูงกว่าในตลาดโลก
ส่งออกข้าวหด 30% – รายได้เกษตรกรกระทบหนัก
จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) พบว่า ไทยส่งออกข้าวได้ 5.03 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2,987.4 ล้านดอลลาร์ หดตัวลงถึง 30.6% และปริมาณลดลง 24.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ, อิรัก, แอฟริกาใต้, จีน และฮ่องกง
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ทั้งจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และข่าวการระบายสต๊อกข้าวจากอินเดียที่กดดันราคาตลาดโลก
มันสำปะหลังแพ้เวียดนาม – จีนหันซื้อคู่แข่ง
นายอำนาจ สุขประสงค์ผล นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย ระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเฉลี่ย 31-32 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับเวียดนามที่ค่าเงินอ่อน ทำให้เกิดความแตกต่างมากถึง 10% ส่งผลให้ราคาแป้งมันไทยแพงกว่าเวียดนามถึง 50 เหรียญฯ/ตัน
โดยเวียดนามขายแป้งมันเฉลี่ย 340-350 เหรียญฯ/ตัน ส่วนไทยอยู่ที่ 390-400 เหรียญฯ/ตัน กระทบตลาดใหญ่คือ จีน ซึ่งไทยส่งออกมากถึง 60% ขณะที่เวียดนามส่งออกมากถึง 90%
ยางพารากระทบหนัก – มาเลเซียได้เปรียบ
สมาคมยางพาราไทยเผยว่า ค่าเงินบาทแข็งส่งผลให้ราคายางในประเทศอ่อนตัวลง มีความเสี่ยงผู้ประกอบการขาดทุน 500-1,000 บาท/ตัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ เงินริงกิตมาเลเซีย ที่ยังอ่อนค่า ทำให้ผู้ส่งออกยางจากไทยเสียเปรียบชัดเจน
นายกัมปนาท วงศ์ชูวรรณ ผู้จัดการกลุ่มเกษตรกรสวนธารน้ำทิพย์ เผยว่า การไม่ฟิกซ์ค่าเงินหรือไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ทำให้ผู้ส่งออกยางเผชิญความเสี่ยงอย่างมาก
ขณะที่ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมแปรรูป เช่น บริษัท ด๊อกเตอร์ บู จำกัด ผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ ระบุว่า บาทแข็งขึ้นถึง 14% กระทบหนักจนไม่สามารถรักษากำไรได้ ต้องหันไปใช้วิธี Natural Hedge และลดการส่งออก หันมาขายในประเทศมากขึ้น
น้ำตาลกระทบน้อย – มีการบริหารความเสี่ยงล่วงหน้า
ด้าน สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ระบุว่า แม้ค่าเงินบาทแข็ง แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำตาลมากนัก เนื่องจากมีการล็อกเรตค่าเงินล่วงหน้าอยู่แล้ว อีกทั้งตลาดส่งออกมีลักษณะเฉพาะตัว แบ่งโควตาชัดเจน ไม่ได้แข่งขันกันแบบสินค้าทั่วไป