ปตท. เร่งเครื่องดันไทยสู่ฮับ LNG อาเซียน เดินหน้าลงทุน-สร้างพันธมิตรระดับโลก รองรับดีมานด์พลังงานสะอาดในยุค Energy Transition พร้อมเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและขยายบทบาทไทยในตลาดโลก
ภายใต้เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในภูมิภาคอาเซียน กลุ่ม ปตท. กำลังเร่งเครื่องลงทุนและสร้างพันธมิตรในระดับสากล เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ควบคู่กับการผลักดันบทบาทของไทยในห่วงโซ่พลังงานโลกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน LNG กลายเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (energy transition) จากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานที่สะอาดกว่า ในภาพใหญ่นั้น กลุ่ม ปตท. ไม่ได้มองแค่ความต้องการภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังวางยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการซื้อขายและกระจาย LNG สู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ ปตท. คือการกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรพลังงานในระดับสากล เพื่อสร้างแหล่งจัดหา LNG ที่หลากหลาย กระจายความเสี่ยง และเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว โดยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2025 ปตท. ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือแบบไม่ผูกมัด (Non-binding Cooperation Agreement) กับ Glenfarne Alaska LNG LLC เพื่อจองสิทธิซื้อ LNG จำนวน 2 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 20 ปี จากโครงการ Alaska LNG ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และส่งออกในปี 2031 โครงการนี้ดำเนินการภายใต้ 8 Star Alaska LLC ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Glenfarne (ผู้พัฒนาโครงการหลัก) และ Alaska Gasline Development Corporation (AGDC) โดยมีการสำรองสิทธิการขาย (offtake) ไปแล้วกว่า 50% ให้กับผู้ซื้อระดับ investment-grade รวมถึงประเทศไทย การมีส่วนร่วมของ ปตท. ในโครงการระดับนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ไทย แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของประเทศไทยในตลาดพลังงานระดับโลก
นอกจากนี้ปตท. ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อ LNG จาก Oman LNG ปริมาณ 300,000 ตันต่อปี เริ่มต้นในปี 2025 พร้อมแผนการขยายความร่วมมือเพิ่มเติมอีก 9 ปี ขนาด 800,000 ตันต่อปี เริ่มต้นในปี 2026การเจรจากับโอมานถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการกระจายความเสี่ยงจากแหล่งจัดหา และเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการซัพพลาย LNG ในภูมิภาค
ด้านการวางรากฐานสู่การเป็นฮับ LNG ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วิสัยทัศน์ของ ปตท. ในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง LNG ของภูมิภาคนั้นมีความเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดย ปตท. ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงทุนพัฒนาโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 ที่หนองแฟบ จังหวัดระยอง โดยมีกำลังรองรับสูงถึง 7.5 ล้านตันต่อปี เมื่อรวมกับคลัง LNG แห่งแรก ประเทศไทยจะมีกำลังนำเข้า LNG รวมสูงสุดถึง 19 ล้านตันต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สามารถรองรับความต้องการภายในประเทศ และยังเหลือศักยภาพสำหรับการส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยนำเข้า LNG สูงถึง 11.7 ล้านตัน กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำเข้าหลักของภูมิภาค ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการมีระบบโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งจัดหาที่มั่นคง
กลุ่ม ปตท. ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนำเข้าและจัดจำหน่าย LNG แต่ยังมีแผนขยายธุรกิจ LNG แบบครบวงจร ทั้งในส่วนของการขนส่ง การแปรรูป และการให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานแก่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา และเมียนมา แผนระยะยาวยังรวมถึงการตั้งศูนย์กลางซื้อขาย LNG (LNG Trading Hub) ในประเทศไทย ซึ่งจะเชื่อมโยงตลาดพลังงานระหว่างประเทศต้นทางกับประเทศผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ภายใต้การขับเคลื่อนของ ปตท. ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทใหม่ในภูมิภาคในฐานะ “ศูนย์กลาง LNG แห่งอาเซียน” ด้วยยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งการสร้างพันธมิตรระดับโลกการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการเสริมสร้างศักยภาพด้านการบริหารจัดการพลังงาน หากเดินหน้าตามแผนอย่างต่อเนื่อง ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางที่หลายประเทศต้องมองหา เมื่อพูดถึงความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
