สศช.เผยตัวเลขความยากจนไทยปี 2567 พุ่งแตะ 3.43 ล้านคน แรงกดดันเศรษฐกิจ-ปัจจัยโครงสร้าง-ภัยธรรมชาติ ซ้ำเติมกลุ่มเปราะบาง ภาคเกษตรรับผลกระทบหนัก ขณะที่ความเหลื่อมล้ำยังทรงตัว เสนอ 3 ทางรอดลดปัญหายั่งยืน
สภาพัฒน์เผยรายงานความยากจนปี 2567 จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นแตะ 3.43 ล้านคน คิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ สะท้อนแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ค่าครองชีพสูงขึ้น และความเปราะบางเชิงโครงสร้างในภาคเกษตร ชี้ “การศึกษาคือกุญแจ” สู่การลดความยากจน ขณะความเหลื่อมล้ำยังคงทรงตัว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำประจำปี 2567 โดยพบว่า จำนวนคนจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 3.41% ของประชากรในปี 2566 เป็น 4.89% ในปี 2567 หรือคิดเป็น 3.43 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเส้นความยากจนเพิ่มขึ้นเป็น 3,078 บาท/คน/เดือน จากเดิม 3,043 บาท
แม้แนวโน้มความยากจนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่การเพิ่มขึ้นในปีล่าสุดสะท้อนความเปราะบางของครัวเรือนไทยเมื่อเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้น
โครงสร้างความจนไทย: “เปราะบางและพลิกผัน”
รายงานของ สศช. เน้นว่า ความยากจนของไทยมีลักษณะเป็น พลวัต (Dynamic Poverty) คือสามารถเปลี่ยนสถานะจาก “ไม่จน” กลับมาเป็น “จน” ได้อย่างรวดเร็วจากปัจจัยภายนอก เช่น ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ภัยธรรมชาติ หรือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก
โดยกลุ่ม “คนจนมาก” (Extreme Poor) หรือผู้มีรายจ่ายต่ำกว่าเส้นความยากจนมากกว่า 20% มีจำนวนกว่า 879,000 คน ขณะที่ “คนจนน้อย” เพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน
เกษตรกรยังคงแบกภาระความยากจน
ภาคเกษตรยังคงเป็น “ด่านหน้า” ของปัญหาความยากจน โดยคิดเป็นถึง 45.49% ของจำนวนคนจนทั้งหมด ซึ่งสะท้อนความเปราะบางในโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตรของไทย ที่พึ่งพารายได้จากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ภูมิอากาศ และราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก
นอกจากนี้ ปัญหา Climate Change ยังซ้ำเติมความไม่แน่นอน ส่งผลให้ครัวเรือนเกษตรหลายแห่งเผชิญกับภาวะขาดทุนสะสม และหลุดจากระบบเศรษฐกิจ
การศึกษาคือกุญแจ แต่โอกาสยังไม่เท่าเทียม
ข้อมูลจาก สศช. ชี้ชัดว่า ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์เชิงตรงกับความยากจน โดยกลุ่มที่ “ไม่ได้เรียนหนังสือ” มีอัตราคนจนสูงถึง 14.21% ขณะที่ผู้มีการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมปลายขึ้นไปมีอัตราคนจนต่ำกว่า 3%
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงการศึกษาไม่ได้เท่ากัน โดยพบว่า ครัวเรือนรายได้สูง ใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงกว่าครัวเรือนยากจนถึง 8.16 เท่า เป็นเครื่องยืนยันว่าความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดความยากจนอย่างยั่งยืน
ความเหลื่อมล้ำไทย: แม้ลดลง แต่ยังทรงตัว
ดัชนีความไม่เสมอภาคด้านรายจ่าย (Gini Coefficient) ลดลงเล็กน้อยจาก 0.335 ในปี 2566 มาอยู่ที่ 0.333 ในปี 2567 ถือว่ายังอยู่ในระดับ “ทรงตัว” และไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
รายงานระบุว่า กลุ่มประชากร 20% ล่างสุด ใช้รายจ่ายครึ่งหนึ่งไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่กลุ่ม 10% บนสุด ใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น เทคโนโลยี ยานพาหนะ หรือบริการสุขภาพเอกชน
ระบบสวัสดิการไทยครอบคลุม แต่ยังไม่ครอบคลุมพอ
ด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ คนจนไทยกว่า 97% เข้าถึงสิทธิสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะบัตรทอง และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่เพิ่มสัดส่วนการครอบคลุมจาก 94.19% เป็น 97.01%
ขณะที่ผู้พิการที่อยู่ในกลุ่มยากจน ได้รับเบี้ยความพิการเพิ่มจาก 73.85% เป็น 87.45% แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของนโยบายรัฐที่เน้นการให้ความคุ้มครองกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: 3 แนวทางสู่ความยั่งยืน
สศช. เสนอ 3 แนวทางหลัก เพื่อบรรเทาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว ได้แก่:
-
ประเมินโครงการใช้งบสูงอย่างต่อเนื่อง
-
ยุติโครงการที่ไม่คุ้มค่า
-
ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการกำหนดนโยบาย
-
-
พัฒนาฐานข้อมูลกลางประชาชน
-
ลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณ
-
ทำให้สามารถออกแบบนโยบายที่ “ตรงจุด” และวัดผลได้
-
-
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคเกษตรอย่างยั่งยืน
-
หนุนเงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข
-
ปฏิรูปที่ดิน และจัดการน้ำ
-
เพิ่มการเข้าถึงตลาดและเทคโนโลยี
-