บาทแข็งแรง! ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7.7% นับจากต้นปี 2568 สะท้อนทิศทางดอลลาร์อ่อน-ทองคำพุ่ง ผู้เชี่ยวชาญชี้กลุ่มผู้นำเข้า-นักเดินทางรับอานิสงส์เต็ม ๆ ด้านผู้ส่งออกต้องจับตาใกล้ชิด พร้อมแนะ 4 วิธีรับ
เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงต้นเดือนกันยายน โดยแข็งค่ากว่า 7.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจโลก และพฤติกรรมการลงทุนของไทยที่เปลี่ยนไป ขณะนักวิเคราะห์เตือนผู้มีธุรกรรมต่างประเทศควรเตรียมรับมือความผันผวนอย่างมีแผน
จากข้อมูล TradingView พบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าจากระดับ 34.41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (ต้นปี 2568) มาอยู่ที่ 31.74 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบปี
สาเหตุหลัก: ดอลลาร์อ่อน-เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS เปิดเผยว่า แรงหนุนสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ หลังข้อมูลการจ้างงานออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปี 2568 และอีก 3 ครั้งในปี 2569
สถานการณ์ดังกล่าวกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Bond Yield) ให้ลดลง ทำให้เงินทุนไหลออกจากดอลลาร์สหรัฐ และกระตุ้นให้สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเงินบาท แข็งค่าขึ้น
ทองคำดันเงินบาทพุ่งเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย
อีกปัจจัยสำคัญคือ ราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดการซื้อขายทองในประเทศจำนวนมาก ซึ่งกระทบโดยตรงกับการเคลื่อนไหวของเงินบาท เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปริมาณการเทรดทองสูง โดยเฉพาะหลังโควิด-19
แนวโน้มเงินบาท: สิ้นปีอาจแตะ 31.75 บาท/ดอลลาร์
ธนาคารกรุงไทยประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจเริ่มชะลอการแข็งค่าในช่วงปลายเดือนกันยายน โดยอาจอ่อนค่ากลับขึ้นมาแตะ 32.00 บาท/ดอลลาร์ ก่อนที่จะทยอยแข็งค่าลงอีกครั้งที่ระดับ 31.75 บาท/ดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2568
เงินบาทแข็ง ใครได้ – ใครเสีย?
เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เท่ากับใช้เงินบาท “น้อยลง” เพื่อแลกสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งผู้ที่ได้และเสียประโยชน์จากภาวะนี้ ดังนี้:
กลุ่มที่ ได้ประโยชน์
-
ผู้นำเข้า: ลดต้นทุนการนำเข้าสินค้า/เครื่องจักรจากต่างประเทศ
-
ผู้บริโภคทั่วไป: ใช้จ่ายซื้อของจากต่างประเทศ, จ่ายค่าสมัครบริการออนไลน์ หรือแลกเงินไปเที่ยวได้คุ้มขึ้น
-
นักลงทุนต่างประเทศ: ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนต่างประเทศได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า
-
ผู้มีหนี้สกุลต่างประเทศ: จ่ายคืนหนี้เป็นเงินบาทน้อยลง
กลุ่มที่ เสียประโยชน์
-
ผู้ส่งออก: ได้รับรายได้กลับมาเป็นเงินบาทน้อยลง
-
คนไทยที่ทำงานต่างประเทศ: รายได้ที่โอนกลับไทยมีมูลค่าลดลง
-
ผู้ประกอบการท่องเที่ยว: รายรับเป็นเงินตราต่างประเทศแปลงกลับเป็นบาทได้น้อยลง
รับมือค่าเงินบาทผันผวนอย่างไร?
จากคำแนะนำของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บุคคลทั่วไปและผู้ประกอบการสามารถรับมือกับความผันผวนของค่าเงินได้ด้วย 4 วิธีหลัก ดังนี้:
-
แลกเงินไว้ล่วงหน้าเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนดี
วางแผนล่วงหน้า เช่น ถ้าจะเดินทางต่างประเทศ ควรแลกเงินเมื่อบาทแข็งค่า -
ใช้ Travel Card หรือ Multi-Currency Card
แลกเงินล่วงหน้าผ่านแอปฯ และเก็บไว้ใช้จ่ายในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องพกเงินสด -
เปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD)
ฝากเงินดอลลาร์หรือสกุลหลักเพื่อลดความเสี่ยงค่าเงินและอาจได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าเงินบาท -
ซื้อขาย USD Futures ผ่าน TFEX
สำหรับนักลงทุนหรือธุรกิจ สามารถใช้ตลาดล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องทำสัญญากับธนาคาร
ค่าเงินบาทในช่วงปี 2568 แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาทองคำที่ปรับตัวสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการค้า การลงทุน และภาระหนี้ของภาคประชาชนและธุรกิจ
แม้ว่าความผันผวนของค่าเงินเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในระบบเศรษฐกิจโลก แต่การวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม และติดตามข่าวสารอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ