ราคาน้ำมันดิบโลกปรับลดในวันศุกร์ นักลงทุนกังวลความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ชะลอตัว ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ราคายังเผชิญแรงกดดันจากทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน

รอยเตอร์รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 โดยนักลงทุนจับตาสัญญาณความต้องการใช้น้ำมันที่อ่อนตัวลงในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงความเป็นไปได้ของการเจรจาหยุดยิงในยูเครนที่อาจส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมัน

• น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 0.50 ดอลลาร์ หรือ 0.73% ปิดที่ 68.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

• น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสฯ (WTI) ลดลง 0.59 ดอลลาร์ หรือ 0.91% ปิดที่ 64.01 ดอลลาร์/บาร์เรล

ทามาส วาร์กา นักวิเคราะห์จาก PVM Oil Associates ระบุว่า ตลาดกำลังให้ความสนใจกับการประชุมกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันต่อราคาในระยะถัดไป

อย่างไรก็ตาม ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Price Futures Group ชี้ว่า แม้จะมีสัญญาณการเพิ่มกำลังผลิตจาก OPEC แต่ปริมาณน้ำมันเหล่านี้ยังไม่เข้าตลาดสหรัฐฯ ขณะที่ฤดูขับขี่ช่วงฤดูร้อนใกล้สิ้นสุดลงในวันแรงงาน (1 กันยายน) จึงเพิ่มความกังวลเรื่องอุปสงค์ที่ลดลง

ฟลินน์เสริมว่า ราคาน้ำมันในช่วงต้นสัปดาห์ปรับขึ้นจากเหตุโจมตีคลังน้ำมันของรัสเซียโดยยูเครน แต่กระแสข่าวการเจรจาหยุดยิงของพันธมิตรยุโรปกลับสร้างแรงกดดันใหม่ให้ตลาด

ในขณะเดียวกัน โอเล ฮวัลบี นักวิเคราะห์จากธนาคาร SEB รายงานว่า ปริมาณน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคมลดลงมากกว่าคาด ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในภาคอุตสาหกรรมและขนส่งที่ยังแข็งแกร่งในช่วงท้ายฤดูร้อน

วิเวก ดาร์ นักวิเคราะห์จากธนาคารคอมมอนเวลธ์แห่งออสเตรเลีย คาดว่าราคาน้ำมันเบรนท์จะลดลงแตะระดับ 63 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 4 ของปีนี้

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นักลงทุนจับตาคือ ความสัมพันธ์ระหว่าง อินเดียและสหรัฐฯ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียขึ้นเป็น 50% เพื่อกดดันให้รัฐบาลอินเดียลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

แต่จนถึงขณะนี้ อินเดียยังคงเดินหน้าซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย โดยคาดว่าการนำเข้าในเดือนกันยายนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีแรงกดดันจากวอชิงตัน

วาร์กา จาก PVM กล่าวเสริมว่า “ส่วนใหญ่มองว่า อินเดียจะยังเพิกเฉยต่อแรงกดดันของสหรัฐฯ และจะซื้อจากรัสเซียต่อไปในราคาที่ต่ำกว่าตลาดโลก”