ม.หอการค้าฯปรับลดจีดีพีปีนี้หลังประเมินผลกระทบเศรษฐกิจทั้งส่งออกเสี่ยงชะลอตัวจากภาษีสหรัฐ ท่องเที่ยวฟื้นช้า การลงทุนชะลอ รวมถึงเสถียรภาพรัฐบาล
รศ.ดร. ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทยได้ปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) จากประมาณการเดิม 3.0% เหลือเพียง 1.7% โดยจีดีพีมีแนวโน้มผันผวนได้ในช่วง 0.9%-2.3% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้านดังนี้ 1.มาตรการภาษีของสหรัฐฯ กระทบการส่งออกหนัก คาดว่าจะลดการส่งออกลง 1.26-1.93% ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ขณะที่สินค้าจีนไหลทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเดือนเม.ย.ไทยนำเข้าสินค้าจากจีน ขยายตัว 30% เมื่อเทียบกับจีนส่งออกไปสหรัฐลดลง 34.5%
2.การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องไตรมาส 1 ติดลบ 0.9% และหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 โดยคาดว่าในปี 2568 ยังติดลบ 1.2% หากรัฐบาลยังไม่มีมาตรการกระตุ้นการลงทุนที่เข้มแข็งสะท้อนความเชื่อมั่นที่อ่อนแอและปัญหาโครงสร้าง
3.ภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง อัตราการใช้กาลังการผลิตอยู่ที่ 65.1% เท่านั้น ขณะที่การผลิตฟื้นตัวช้ากว่าการส่งออกการบริโภคเอกชนชะลอเหลือ 2.4% จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงถึง 87.4% ต่อ จีดีพี กดดันกาลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี
4.ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวล่าช้า นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเพียง 40.3% เทียบก่อนโควิด-19จากปัญหาความปลอดภัยและการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น
5.ความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ (ก.ค. 2568), ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน, ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา และเสถียรภาพรัฐบาล และ 6.การปรับเปลี่ยนจากโครงการแจกเงินฯ ไปสู่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มี Fiscal Multiplier สูงกว่า (1.3เท่า) แต่ประสิทธิผลขึ้นอยู่กับความสามารถในการเบิกจ่าย เนื่องจากยังมีกระบวนการในการเบิกจ่ายอนุมัติงบประมาณ ดังนั้นจึงต้องเร่งใช้เงินให้ได้ในช่วงไตรมาส4 เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบโดยเร็ว
“ภาพรวมเศรษฐกิจผิดคาดจากที่เคยประเมินไว้ จึงต้องปรับมุมมองโดยปรับลดจีดีพีเหลือ 1.7% จากเป้าเดิม 3 % เนื่องจากไทยมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านที่ต้องเจอ โดยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายคือรัฐบาลต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งต้องรอดูว่าจะสามารถลดภาษีนำเข้าในอัตราเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้มีผลต่อการส่งออก ขณะเดียวกันต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายโดยเฉพาะงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือความไม่แน่นอน”