ร่วมกันวิเคราะห์ผลการจัดอันดับขีดความสามารค  IMD  กับ  สมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)

ร่วมกันวิเคราะห์ผลการจัดอันดับขีดความสามารค  IMD  กับ  สมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
IMD จัดอันดับ World Competitiveness Ranking 2025 "ไทย" ตกไปอยู่อันดับที่ 30 จาก 25 ในปีที่แล้ว

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยรายงาน World Competitiveness Ranking 2025 พบว่า "ประเทศไทย" มีขีดความสามารถในการแข่งขันร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 25 ในปีที่แล้ว สะท้อนภาพความถดถอยที่น่ากังวลในทุกมิติ

รายงาน IMD ชี้ชัดว่า อันดับของไทยลดลงในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ที่ร่วงลงถึง 8 อันดับ ไปอยู่ที่อันดับ 32 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจที่สุด ตามมาด้วย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ที่ลดลง 4 อันดับ และ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ลดลง 3 อันดับ การจัดอันดับที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องนี้ เป็นสัญญาณเตือนที่ประเทศไทยไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

นายธิติ ภัครโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้ออกมาแสดงความเห็นและเสนอแนวทางพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากไม่ต้องการให้ประเทศไทยตกขบวน

TMA ชี้เป้า 4 ด้านเร่งด่วนที่ต้องพลิกฟื้น :

1. Economic Performance (อันดับ 8): ฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยยุทธศาสตร์ใหม่ TMA เสนอให้อุตสาหกรรม Agri-food (เกษตรแปรรูปและอาหาร) และ Wellness & Medical Tourism (การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์) เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ด้วยการต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศ และคว้าโอกาสจากกระแสความต้องการของโลก เพื่อสร้างผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
2. Government Efficiency (อันดับ 32): สร้างภาครัฐที่ "น่าเชื่อถือ" และ "คล่องตัว" การสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง TMA เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานขับเคลื่อนกลางที่มี "แชมป์เปี้ยน" ที่มีอำนาจและความสามารถจริง พร้อมปรับกฎระเบียบและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (Ease of Doing Business) และลดความเหลื่อมล้ำเพื่อเพิ่มชนชั้นกลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
3. Business Efficiency – Enterprise Transformation (อันดับ 24): ปฏิรูปธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลและนวัตกรรม ภาคธุรกิจต้องเร่งเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพ ค้นหาตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ รวมถึงนำ Digital Platform มาประยุกต์ใช้ ที่สำคัญคือการเปลี่ยนผ่าน SMEs ให้เป็น Innovation Driven Enterprises (องค์กรขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม) และพัฒนาทักษะที่จำเป็น (Upskill and Reskill) ให้กับกำลังคน
4. Infrastructure – พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา (อันดับ 47): ยกเครื่องสาธารณสุขและการศึกษา โครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาที่สำคัญคือ ระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้เท่าเทียม ผ่านการปฏิรูประบบการศึกษา เน้น Strategic Skills และวางรากฐานระบบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน


ในการเสวนา "โอกาส ความหวัง และอนาคตของประเทศไทย" ที่รวมนักคิดและผู้บริหารชั้นนำ อาทิ คุณนิธิ ภัทรโชค (TMA), ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล (ธนาคารกรุงเทพ), ดร.อธิพงศ์ หิรัญเรืองโชค (สภาพัฒน์ฯ) และคุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ (Techsauce) ได้มีการสรุปตรงกันว่า อีก 5-10 ปีข้างหน้าคือ "ตัวชี้วัด" อนาคตของประเทศไทย เพราะการพัฒนาในหลายด้านยังคง "ช้าและล้าสมัย" อย่างน่าเป็นห่วง

ประเด็นที่ถูกหยิบยกมาเน้นย้ำคือ:

เทคโนโลยีที่ตามไม่ทัน: ประเทศไทยถูกมองว่าล้าหลังอินโดนีเซียและเวียดนามในเรื่องเทคโนโลยี
ระบบการศึกษาที่ไม่ได้รับการพัฒนา: ความล้าสมัยและความเหลื่อมล้ำในการศึกษาเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข
ประสิทธิภาพภาครัฐที่ขาดความต่อเนื่อง: ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดขึ้นมาบริหาร นโยบายที่ออกมามักขาดความต่อเนื่องและไม่สามารถทำตามได้อย่างแท้จริง

ประเทศไทยต้องการ "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" เฉกเช่นเดียวกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ในปี พ.ศ. 2504 ที่มีการนำอุตสาหกรรมเข้ามาและบริษัทญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง จนทำให้เกิดการพลิกโฉมประเทศ

โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการศึกษา นายธิติ ภัครโชค ได้ยกตัวอย่างจากสิงคโปร์ที่เรียนรู้แนวคิดจากสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้ผลักดันแค่นักศึกษาที่เก่งเท่านั้น หากแต่ส่งเสริมและพัฒนาทุกคนอย่างเท่าเทียม เพื่อลดช่องว่างและเพิ่มชนชั้นกลางในประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายนิธิเน้นย้ำว่า “ภายใต้วิกฤติต่างๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้      อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหา เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้าง   การเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเอง และร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม  การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของ SMEsประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้ บนพื้นฐานของ natural endowment และ competitive advantage แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน และต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังที่หลาย ๆ ประเทศที่ประสบปัญหาและเผชิญความท้าทายของสถานการณ์โลกเช่นเดียวกับเราที่สามารถปรับตัวฝ่าวิกฤติ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยก็สามารถทำได้หากเรามีทิศทางที่ชัดเจน” 
 

TAGS: #TheBetterNews #IMD #TMA