จับสัญญาณค่าไฟฟ้าปลายปีต่ำกว่า 3.98 บาท/หน่วย

จับสัญญาณค่าไฟฟ้าปลายปีต่ำกว่า 3.98 บาท/หน่วย
กฟผ.มองค่าไฟฟ้ามีโอกาสลดลงอีกตามต้นทุนเชื้อเพลิง ขานรับดีลซื้อก๊าซฯสหรัฐต้องประมูลแข่งราคาที่เหมาะสม  หวังได้โควตาผลิตไฟฟ้าเพิ่มช่วยรัฐได้อีกเยอะ

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)  เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้าในอนาคต งวดสุดท้ายของปี (ก.ย.-ธ.ค.)ก็มีโอกาสต่ำกว่างวดปัจจุบัน( พ.ค.-ส.ค.68)ที่ 3.98 บาทต่อหน่วยจากทิศทางราคาเชื้อเพลิงอ่อนแอลง สวนทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับแผนเจรจากับสหรัฐเรื่องการลงทุนและการรับซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)เพื่อสร้างสมดุลการค้า  ซึ่งทางกลุ่มกฟผ.พร้อมสนับสนุน โดยในหลักการที่สำคัญคือแอลเอ็นจีที่รับซื้อต้องเป็นราคาประมูลแข่งขันเพื่อให้ต้นทุนถูกที่สุดเกิดประโยชน์กับผู้ใช้ไฟฟ้า ขณะที่เป็นหลักการเดียวกับที่สหรัฐนำเข้าสินค้าจากไทยก็อยู่บนพื้นฐานต้นทุนราคาแข่งขันได้กับประเทศอื่น

ปัจจุบันกฟผ.มีหน้าที่สำคัญในการผลิตไฟฟ้าและดูแลค่าไฟฟ้าโดยที่ผ่านมาได้เข้าไปรับภาระต้นทุนเชื้อเพลิงให้ประชาชนทำให้เกิดหนี้สะสมค้างอยู่ 71,000 ล้านบาท  แต่ขณะเดียวกันด้านการบริหารงานก็มีประสิทธิภาพสามารถนำเงินส่งเข้ารัฐ50% ของผลกำไรจนล่าสุดปีนี้ สร้างสถิติเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำเงินส่งรัฐเป็นอันดับที่1 เป็นจำนวนเงิน 26,349 ล้านบาททั้งๆที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในตลาดเพียง 29% เท่านั้น

นอกจากนี้ภาครัฐยังควบคุมผลตอบแทนรายได้ของ 3 การไฟฟ้า (กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนการลงทุนเพื่อการดำเนินงาน (ROIC) ไม่เกิน 5% หากเกินอัตรานี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)จะใช้เงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) จาก 3 การไฟฟ้า มาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าซึ่งเห็นได้ชัดค่าไฟฟ้างวดนี้ ถูกเรียกประมาณ 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17 สตางค์ของหน่วย

อย่างไรก็ตามกฟผ.เป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลประชาชนทั้งค่าไฟและการนำเงินส่งรัฐ  โดยปี2565 หาก กฟผ.ไม่ร่วมรับต้นทุนค่าไฟ1.5แสนล้านบาทค่าไฟฟ้าจะกระโดดไปถึง7-8บาทต่อหน่วย ดังนั้นในภาพรวมถ้ากฟผ.มีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นก็จะสร้างประโยชน์แก่รัฐเพิ่มมากขึ้นในการเป็นเครื่องมือดูแลประชาชน

นายเทพรัตน์  กล่าวว่า การดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าถือเป็นหัวใจหลักที่ 3 การไฟฟ้า โดยขณะนี้มีความเป็นห่วงการจัดสรรกำลังผลิตไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) โดยได้แจ้งไปยังสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ถึงการลงทุนในพื้นที่อีอีซีว่ามีการลงทุนใหม่ที่กระจุกตัวมากน่าจะกระจายไปพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากมีความต้องการไฟฟ้าโครงการใหม่ ถึง 1 หมื่นเมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้โครงการดาต้าเซ็นเตอร์  20 ราย  ที่ต้องใช้ไฟ 5,000 เมกะวัตต์ ซึ่งห่วงเรื่องความเสี่ยงหากเกิดปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรืออุบัติเหตุใดใดต่อระบบในอีอีซีก็อาจจะกระทบต่อการผลิตของภาคอุตสาหกรรม

 นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงถึงแผนพลังงานชาติในอนาคตที่กำหนดสัดส่วนพลังงานทดแทนถึง 50%  ซึ่งต้องมีการวางแผนที่ดี เนื่องจากมีตัวอย่างในประเทศสเปนที่ใช้พลังงานทดแทน60% เมื่อเกิดไฟฟ้าดับทั้งประเทศปลายเดือนเม.ย.68 ทุกภาคส่วนกระทบหนัก โดยไทยต้องนำมาเป็นกรณีศึกษาและวางมาตรการป้องกันเป็นอย่างดีไม่ให้เกิดในไทย

TAGS: #กฟผ. #ต้นทุนเชื้อเพลิง #อีอีซี #แอลเอ็นจี