การบินไทยวางเป้าหมายเติบโตยั่งยืน หลังเผชิญวิกฤตการเงินหนี้ท่วม 3.4 แสนล้านบาท เตรียมนำ THAI คืนสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก.ค.นี้
เป็นเวลา 5 ปี กับการพลิกฟื้นวิกฤตของบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) หลังต้องประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักโดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์โควิดทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรและการเงิน ด้วยมูลหนี้สะสมถึง 3.4 แสนล้านบาท จนนำไปสู่การเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ
ไทม์ไลน์ของแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย เริ่มต้นเมื่อเดือนพ.ค.2563 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ หลังจากเดือนก.ย.2563 มีคำสั่งให้การบินไทยดำเนินการฟื้นฟูกิจการ พร้อมกับจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อนำเสนอต่อศาลฯ ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการจริง
ทั้งนี้ได้แต่งตั้งคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ 3 คน โดยมีดร.ปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธานคณะผู้บริหาร และ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และนายพรชัย ฐีระเวช เป็นกรรมการผู้บริหารแผน ภาระกิจสำคัญของการบริหารแผน ก็คือต้องปรับโครงสร้างหนี้ ลดหนี้ ยืดหนี้ และแปลงหนี้เป็นทุน
ขณะเดียวกันต้องลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับสภาพที่แท้จริง จากเคยมีพนักงานร่วม 3 หมื่นคน ลดมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นคน ส่วนหนึ่งก็เป็นการลดรายจ่ายคงที่จากเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ
นอกจากนี้ยังปรับฝูงบินและเส้นทางการบิน ทั้งลดแบบเครื่องบิน ลดแบบเครื่องยนต์ ยกเลิกเส้นทางที่ขาดทุนบางเส้นทางในยุโรปและสหรัฐ มองเส้นทางที่ทำกำไร ขณะเดียวกันต้องเพิ่มรายได้และสร้างธุรกิจเสริม เช่นการพัฒนา TG Catering TG MRO (การให้บริการซ่อมบำรุง) และGround Service ให้เติบโต
การดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่มีความคืบหน้า ส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ กัปตันหลังม่าน อย่าง ดร.ปิยะสวัสดิ์ ที่ใช้ความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการแผน มีวินัยทางการเงิน ผนวกกับการได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคนในองค์กร ตลอดจนฝ่ายบริหาร แม้ว่าบางช่วงจังหวะจะมีสัญญาณการเมืองเข้ามาแทรกแซง เป็นระยะๆ ก็ตาม
ก่อนหน้านี้เดือนพ.ย. 2567 การบินไทยวางแผนเพิ่มทุนโดยออกหุ้นใหม่ 9.82 พันล้านุหุ้นมูลค่า 4.4 หมื่นล้านบาท เพื่อเตรียมตัวออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
ล่าสุดการประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญของการบินไทยอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ 11 คน มีแผนเตรียมยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ และนำการบินไทยเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพของตลาดทุนไทยอีกครั้ง มีเป้าหมายนำ THAI เข้าเทรดในตลาดหุ้น เดือนก.ค.นี้
อนาคตของการบินไทยหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ยังมีโอกาสเติบโต ด้วยศักยภาพในการขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดที่มีกำไรสูง เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย รวมถึงความสามารถในการลงทุนฝูงบินใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิง
นอกจากนี้ต้องพลิกฟื้นสายการบินแห่งชาติที่ทุกคนรู้จัก จากภาพลักษณ์“บริการแบบไทย” ที่เคยเป็นจุดเด่น หากมีการบริหารจัดการที่ดี จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มาก
อย่างไรก็ตามหลายคนยังคงเป็นห่วงปัจจัยการเมืองที่อาจเข้ามาแทรกแซงการบริหารเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้นไม่ถึง 50% ทำให้บริษัทพ้นสถานะการเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ถ้าการเมืองยังมีอิทธิพลในการแต่งตั้งบอร์ดบริหารหรือผู้บริหารระดับสูง ก็อาจกระทบการตัดสินใจเชิงธุรกิจ แต่เชื่อว่าบทเรียนของการบินไทยในช่วงที่ผ่านมาจะสร้างภูมิต้านทานที่มั่นคงในการรับมือกับปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้
