หวั่นสงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจไทยโตแบบจำกัด

หวั่นสงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจไทยโตแบบจำกัด
กกร.ห่วงผลกระทบสงครามการค้ารอบใหม่ กดดันสินค้าต่างชาติทะลักเข้าไทยแย่งส่วนแบ่งตลาด ชง 6 แนวทางลดผลกระทบ  

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)ว่า ที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์สงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแล้วที่เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐฯประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ทั้งต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจีนในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569 

นอกจากนี้ ยังผลักดันนโยบายเร่งด่วนผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส เป็นต้น

ทั้งนี้ความขัดแย้งทางการค้ากดดันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (De-coupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน จากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวตามข้อเสนอในสมุดปกขาวของ กกร. โดยกระทรวงพาณิชย์ พบว่า กลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น

ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งในปีที่ผ่านมาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ ยังต้องเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA ที่เพิ่งสำเร็จเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตามที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้หารือแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ที่เริ่มมีการประกาศบังคับใช้กับเม็กซิโก แคนาดา และจีนแล้ว ซึ่งประเทศคู่กรณีดังกล่าวได้ส่งสัญญาณตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและมาตรการทางการค้ากลับสหรัฐฯ ทำให้การค้าโลกได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจจะไหลทะลักกลับมาที่ประเทศไทยและประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น 

ดังนั้น กกร. จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
1.การเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน
2.การสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ  
3.การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน 
4.การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping :AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า และการใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522
5.การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ
6.การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ทั้งการ เพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไข การใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ เช่น การกำหนดการใช้สินค้าไทยในโครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ

ทั้งนี้ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ที่ประชุมได้แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลในการยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ หลังพบว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว เสียโอกาสทางธุรกิจในการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม 

ดังนั้นเพื่อยกระดับแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 กกร. จีงหารือแนวทางดำเนินการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยมีมาตรการสำคัญ ดังนี้ 1. สนับสนุนการให้เงินอุดหนุนในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อเร่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาลดปัญหาฝุ่นละอองและการเผาในภาคเกษตรกรรม 2.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าไม้ ให้เกิดการบริหารจัดการที่ยั่งยืน ลดปัญหาไฟป่า และกระตุ้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

3.ผลักดันกลไกภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้ พ.ร.บ. อากาศสะอาด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4.สนับสนุนการใช้แผนที่ One Map และเตรียมความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการ EUDP ภายใต้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation: EUDR) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ 
5.ใช้กลไกความร่วมมืออาเซียน เพื่อประสานการป้องกันและควบคุมปัญหาฝุ่น PM2.5 และไฟป่าในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ กกร. ย้ำว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่น PM2.5 และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน
 
นอกจากนี้ที่ประชุม กกร.สนับสนุนแนวทางการยกระดับการจัดการบัญชีม้าของสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก โดยที่ผ่านมา ได้พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยของ Mobile Banking เพื่อป้องกัน Application ดูดเงินและการควบคุมโทรศัพท์มือถือระยะไกล (Remote Access) งดการส่งข้อความ SMS แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้า จัดให้มี Hotline รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) พัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลในภาคธนาคาร (Central Fraud Registry) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ธุรกรรมต้องสงสัย และบัญชีม้า ทำให้สามารถจัดการระงับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 1.8 ล้านบัญชี

ขณะเดียวกันยังเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมในการจัดการบัญชีม้านิติบุคคล ทั้งนี้เพื่อความสำเร็จจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาภัยทางการเงิน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม (Telco)ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ให้บริการ E-Wallet รวมถึงภาคประชาชน ที่ต้องตื่นตัวและรู้เท่าทันภัยทางการเงิน เพื่อให้แก้ไขและป้องกันภัยทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

TAGS: #กกร. #สงครามการค้า