นักวิชาการทีดีอาร์ไอ มอง ไอเดียดิจิทัลคอยน์ ทักษิณ เกิดไม่ง่าย ผิดกฎหมายแบงก์ชาติ ที่ผ่านมาเคยมีเอกชนทำมาแล้วก็เจ๊งไปไม่รอด
หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ รัฐมนตรี ผุดไอเดียให้ไทยออก ดิจิทัลคอยน์ (digital coin) ได้ไม่นาน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว. ก็รับลูกจ่อออก Stablecoin ใหม่ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งแพลตฟอร์มเทรดใหม่ ส่วนเฟสต่อไปเตรียมเปิดให้ Stablecoin ใช้ซื้อสินค้าได้ด้วย
Stablecoin คืออไร มีความเสี่ยงมากน้อยขนาดไหน และจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ต้องอ่านบทสัมภาษณ์พิเศรษฐกิจนักวิชาการทีดีอาร์ไอ พูดให้ความเห็น ข้อสังเกต และข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า กล่าวว่า อย่างแรกตัวของ ดิจิทัลคอยน์ (digital coin) มันมีได้ 2 รูปแบบ อันแรกเป็น ดิจิทัลคอยน์ ที่ออกโดยธนาคารกลาง เป็นคอนย์แบบเฉพาะ เรียกว่า Central Bank Digital Currency (CBDC) ส่วนที่จะเป็นการออกคอยน์ในลักษณะแบบ Digital Currency คล้ายๆ กับ บิทคอยน์ เพียงแต่มีรูปแบบที่แตกต่างจากบิทคอยน์
แบบที่สอง Digital Currency หากไม่ได้ผู้โยงกับธนาคารกลางโดยตรง มันออกได้หลายรูปแบบ เช่น แบบ Stablecoin พยายามยึดโยงให้ราคาไม่ผันผวน พยายามให้ราคาเท่ากับสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ที่ออก ให้มากสุด ซึ่งมีหลายตัวเกิดขึ้นมาก็ล้มหายตายจากไปแล้ว
ดังนั้น จากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดว่าจะออก digital coin ไม่รู้ว่าจะออกแบบไหน จะออกแบบให้แบงก์ชาติเป็นคนดูแลเลย ก็คือ CBDC หรือ ว่าจะออกแบบมีสินทรัพย์หนุน มีการสร้างเหรียญขึ้นมาใหม่เลย แต่เหรียญตัวนี้ไม่ได้ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขึ้นลงผันผวนแบบพวกบิทคอยน์ แต่มันจะมีสินทรัพย์หนุนหลังหรือพันธบัตรหนุนหลังอย่างแนวคิดคุณทักษิณ
อย่างไรก็ตาม การออก digital coin ทั้ง 2 แบบมีความคล้ายคลึงกันแต่ก็มีนัยที่แตกต่างกันในนัยของการพลัดดันให้เกิดขึ้นอยู่พอสมควร ดังนี้ กรณี CBDC เป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่นายทักษิณ พูดไม่ได้เป็นอะไรใหม่ เป็นเรื่องที่ ธปท. ดำเดินการทดสอบมาปีกว่าแล้ว ทดลองในพื้นที่จำกัด ทำการวิจัยพัฒนาว่าไอเดียตรงนี้มีความเป็นไปได้ไหม มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าทำแบบนี้ผลกระทบจะไม่มาก ธปท. มองว่า อนาคตไกล มันสมารถไปสู่การใช้ digital coin ได้
แต่ทั้งนี้ ประเทศไทยมี สกุลเงินดิจิทัล (digital currency) อยู่แล้ว โดยพฤตินัย ก็คือ ตัวของพร้อมเพย์ ซึ่งเห็นได้ว่ามีประสิทธิภาพมาก เพราะการโอนเงินไม่มีค่าบริการ แต่หากเป็น Stablecoin หรือ บิทคอยน์ ต้นทุนการโอนแพง แต่เนื่องจากตอนนี้ราคา บิทคอยน์ ขึ้นมาก ก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องค่าการโอนในส่วนนี้กัน และการจะประมวลผลข้อมูลจากส่วนนี้มีต้นทุนสูงมาก
“เรื่อง CBDC ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรามีตัวของพร้อมเพย์อยู่แล้วที่ทำหน้าที่แบบเดียวกัน และเป็นระบบที่ดีมากอยู่แล้ว” นายนณริฏ
นายนณริฏ กล่าวว่า ส่วนที่สองการออก สกุลเงินดิจิทัล (digital currency) แบบที่นายทักษิณ บอก คือการใช้พันธบัตรหนุนหลัง ตรงนี้มีความเสี่ยงมากกกว่า เพราะ ธปท. ไม่ได้เข้ามาควบคุมทำให้มันใจว่าระบบมันเสถียร ระบบราคามันคงที่จริง แม้ว่ามีสินทรัพย์หนุนหลัง แต่ก็ยังมีเรื่องกลไกราคาตลาด ความเชื่อมั่นของคนที่คิดว่า เมื่อไรที่ต้องการได้เงินก็นำไปแลกเปลี่ยนบอน์ดได้ ซึ่งตรงนี้มีความเสี่ยง เพราะประเทศไทยเคยมีแล้วในช่วงที่ สกุลเงินดิจิทัล บูมในช่วงแรกๆ ที่ผ่านมา มีการออกบาทคอยน์ แล้วก็เจ๊งไป นอกจากนี้ ธปท. มองว่าการออกบาทคอยน์ดังกล่าวเป็นการออกโดยผิดกฎหมาย ดังนั้น ถ้านายทักษิณ ออกดิจิทัลคอยน์แบบนี้ เป็นไปได้ยาก ความเสี่ยงสูงมาก
“การออกแบบ Stablecoin แบบที่นายทักษิณ คิด ไม่ได้เกี่ยวโยงกับ ธปท. ความน่าเชื่อถือน้อย และที่ผ่านมาก็เจ๊งมาแล้ว ทำได้ยากผิดกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา ของธปท. ไม่อนุญาตให้สร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมา ในอดีตที่เอกชนสร้างขึ้นมาเข้าใจว่า ธปท. ยังไม่ได้เข้าไปเอาปราม หรือเอาผิด มันก็เจ๊งไปเสียก่อน มันก็เลยจบเร็ว แต่รอบนี้หากรัฐบาลพยายามสร้างเอง และไม่ยึดโยงกับ ธปท. น่าจะมีปัญหาข้อกฎหมายค่อนข้างมาก” นายนณริฏ กล่าว