เอกชน 3 สถาบันประสานเสียงกดดันรัฐต้องทบทวนค่าไฟงวดพ.ค.-ส.ค.เพื่อลดภาระประชาชน ขีดเส้นไม่เกิน 4.40 บาทต่อหน่วย เสนอปรับสูตรราคาเชื้อเพลิง-ยืดหนี้กฟผ.3 ปี
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันนี้(10 เม.ย.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) จะส่งหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 ใหม่ จากที่ประกาศออกมาแล้วและทำให้ค่าไฟเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.77 บาทต่อหน่วย ซึ่งเห็นว่าอัตราที่เหมาะสมไม่ควรจะเกิน 4.40 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้แม้ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ครั้งที่ 15/2566 (ครั้งที่ 843) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 มีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที (เอฟที) และได้พิจารณากรณีศึกษาการปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดพ.ค.-ส.ค. 2566 โดยมีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย
ทางกกร. มีความเห็นว่า กพช.ควรทบทวนค่าเอฟที งวดที่ 2 เพื่อเป็นการลดภาระของภาคประชาชนในครัวเรือน และภาคธุรกิจ โดยมีเหตุผล ดังนี้ 1.จากสถานการณ์ราคาพลังงานทั่วโลก มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเร่งคืนหนี้ค่าไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากเดิมที่มีแผนคืนให้ในระยะเวลา 3 ปี (ตามงวด 1/2566) และเปลี่ยนเป็น 2 ปี (ตามงวด 2/2566) อาจเร็ว เกินไป จนส่งผลกระทบต่อภาระของประชาชน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ กกร.จึงเสนอให้คงระยะเวลาการคืนหนี้ให้ กฟผ. เป็นระยะ 3 ปี ตามงวด 1/2566
2.ควรพิจารณาปรับวิธีประมาณการราคาตันทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ที่ใช้คำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้า โดยใช้ราคาที่สะท้อนแผนการนำเข้าแอลเอ็นจี ในช่วงพ.ค.-ส.ค.แทนการใช้ข้อมูลราคาของเดือนม.ค.2566 ซึ่งมีราคาที่สูงกว่าเพื่อบรรเทาผลกระทบราคาไฟฟ้าของทุกภาคส่วนลงได้
นอกจากนี้ ขอให้ภาครัฐเร่งจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเอกชนด้านพลังงาน( กรอ.พลังงาน) เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความเห็น ต่อนโยบายด้านพลังงาน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อทุก ภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างแท้จริง และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ