เมื่อได้รับเชิญให้ไปทดสอบ Royal Enfield Super Meteor 650 ที่ รัฐราชาสถาน ประเทศอินเดีย ผมรับปากทันทีเพราะ Super Meteor 650 ที่เคยสัมผัสตอนเปิดตัวที่งาน EICMA ประเทศอิตาลีนั้น ผมมองว่านี่คือรุ่นที่ดีที่สุดของ Royal Enfield ซึ่งที่เมืองราชาสถานเป็นรัฐที่มีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายสวยงามและสามารถใช้ศักยภาพของรถได้เต็มที่
โดยผู้จัดได้แบ่งเป็นสองวันให้ทดสอบโดยวันแรกเป็นการขับขี่ระยะเพียง 50 กิโลเมตรไปตามเส้นทางที่แคบและมีเนินเขา ส่วนวันที่สองเป็นการเดินทางเกือบ 400 กิโลเมตร เพื่อให้เห็นชัด ๆ เรื่องการใช้งาน
Super Meteor 650 แปลว่า "ดาวตก" มีดีไซน์ที่เรียกได้ว่านำเอาคอนเซ็บของดาวตกเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบถังน้ำมัน (บางรุ่น) ผมมองว่านี่คือ การออกแบบที่ดีทีเดียวเพราะมอเตอร์ไซค์ที่มีเรื่องราวมักน่าสนใจเสมอมันคือรถสไตล์ ครุยเซอร์ คลาสสิค แต่มีความเป็นปัจจุบันที่พอดี จากราคาที่ไม่สูงมาก ค่าอะไหล่ที่สมเหตุสมผล ไม่สนใจเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูง แต่กลับใส่ใจเรื่องราคาที่จับต้องได้และต้องการให้เจ้าของรถได้ใช้ทักษะที่สนุกในการขับขี่ จึงมีสโลแกนว่า "Pure Motorcycle" หรือความบริสุทธ์ของมอเตอร์ไซค์ที่พวกเขาอยากมอบให้
Super Meteor มาพร้อมเครื่องยนต์ สองสูบ มาในความจุ 648 ซีซี.พร้อมเสื้อลม-มีออยล์คูลเลอร์มีแมพปิ้งที่ออกแบบมาให้ทำงานได้ดีขึ้นในรอบต้น-กลาง-ปลายและอัตราทด 6 เกียร์ สามารถกดความเร็วทะลุ 160 กม./ชม. สิ่งนี้ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้อย่างดีทีเดียว เฟรมและแชสซีถูกออกแบบใหม่บนฐานความเป็นออริจินอลของรุ่นเดิมในปี 1956-1962 ดีไซน์มาเพื่อความเสถียรของการใช้งานเป็นหลัก การทดสอบอย่างหนักหน่วงทั้งบนแทร็ค
ทดสอบ,ไฮเวย์,ถนนทั่วไปทั้งในเมือง และนอกเมืองอินเดีย,สหราชอาณาจักร และสเปนกว่า 1 ล้านกิโลเมตร คือสิ่งที่ Royal Enfield ทำก่อนวางจำหน่าย
มีการใช้ระบบการออกแบบเสียงเครื่องยนต์ที่ใช่วิศวกรรมเรื่องเสียงเข้ามาช่วยให้เสียงเครื่องยนต์สามารถสร้างความรู้สึกที่ดีให้ผู้ขับขี่รู้สึกดีไปตลอดเส้นทางเรื่องนี้ไบค์เกอร์เท่านั้นที่เข้าใจ ช่วงล่างให้ Showa มา เป็นโช๊คหน้าแบบหัวกลับ ขนาดแกน 43 มม.พร้อมโช้คหลังแบบคู่ ปรับค่าพรีโหลดได้ 5 ระดับ อันนี้ดีมากๆ เพราะการแบกน้ำหนักหลังที่มีทั้งคนซ้อนและกระเป๋านั้นมีผลต่อการขับขี่แน่นแน ประสิทธิภาพ ช่วงยุบ 120 มม.ของโช้คหน้าและ101 มม.ที่โช้คหลัง ถูกเซ็ทมาให้ซับแรงได้เหมาะกับน้ำหนักของรถ 241กก ขณะที่ระบบเบรก ดิสค์หน้า-หลัง ใช้คาลิเปอร์จาก Bybre เสริมด้วย ABS เป็นสแตนดาร์ด ที่ให้มาพอดี
Super Meteor 650 เปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์ ปีนี้ 3 รุ่น คือรุ่นท๊อป คือCelestial (รุ่น Tourer มีอุปกรณ์เสริมมาให้ คือ ชิวหน้าและเบาะนั่งหนานุ่มพร้อมพนักพิง Interstellar ที่มีสีถังเป็นแบบทูโทนไม่มีอุกรณ์เสริม และ Astral เป็นรุ่นเริ่มต้นที่มีโทนสีเดียว ทั้งสามรุ่นแตกต่างกันเพียง สีถัง และอุปกรณ์ทัวริ่งเท่านั้น ส่วน ของแต่งมีมาให้เพียบหากรุ่นเริ่มต้นอยากใส่ชุดทัวริ่งภายหลังก็ทำได้
ผมเริ่มต้นด้วย Celestial สีแดงก่อน โดยรู้สึกว่าแม้น้ำหนักรถจะเยอะกว่า 240 กก. แต่สามารถตั้งรถขึ้นตรงง่าย แม้ความสูงเพียง 159 ซมของผมมักจะเป็นอุปสรรคเสมอก็ตาม การเข็นรถเข้าจอดก็ไม่หนักเมื่อรถตั้งตรงการใช้ความเร็วต่ำ เลี้ยวในวงแคบก็ทำได้ง่าย นิ่มนวล พลังในการออกตัวแซงหรือขึ้นเนินนั้น ไร้ที่ติ รอบเครื่องยนต์ นิ่มนวลมาก ท่านั่งสำหรับผมยืดขานิดหน่อย อยากได้ที่วางเท้าแต่งที่ไกล้เข้ามาที่ตัวอีกนิด แต่ระยะที่เพอร์เฟค
สำหรับ คนที่สูง 165 ขึ้นไป เมื่อได้ทำความเร็ว ไปถึง 160 กม.ชม. ชิวหน้าตัดลมได้ดีรู้เลยว่าเมื่อมีฝนจะช่วยได้มาก สำคัญที่สุดคือรถนิ่งมาก ช่วงล่างซับได้ดีแบบน่าทึ่ง
เมื่อสลับมาที่ Interstellar ยอมรับว่าแค่ชื่อก็ชอบแล้วและรู้ทันทีว่าการขับขี่แบบเดียวกันกับ Celestial นั้น Interstellar แตกต่างอย่างมาก หน้าตาเฟี๊ยวๆ จิ๊กโก๋ กว่า น้ำหนักเบากว่าทำให้มันเกรียนกว่า พลิกไว ให้อารมณ์สนุกกว่า Celestial แต่เมื่อทำความเร็วสูงจะโดนแรงลมปะทะมาก สิ่งนี้บางคนชอบ บางคนอาจจะไม่ชอบก็แล้วแต่สไตล์ ไม่ใช่รถไม่ดี สรุปได้ว่า Super Meteor 650 เป็นจุดเปลี่ยนของการพัฒนารถของ Royal Enfield ให้ไปถึงจุดที่สื่อให้ทั่วโลกยอมรับว่า ดีที่สุดตั้งแต่ Royal Enfield ผลิตรถมาสู่ตลาดโลก พัฒนาแก้ไขจุดด้อยต่างๆ ได้ดีการขับขี่ใช้งาน เพื่อการท่องเที่ยวระยะไกลคือ 'มันใช่มาก' ไม่เหนื่อยสบาย เบาะนุ่ม ช่วงล่างดี อัตราเร่งดี เบรกดี ปลอดภัย ครบๆ กันไป ส่วน Interstellar วัยรุ่นหน่อย ชอบความตื้นเต้นไม่เน้นเดินทางไกล แต่หากจะไปก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่อย่าเอาอะไรไปมาก
TEST RIDER: Jedd Sreshthaputra
TEST RIDE: ROYAL ENFIELD SUPER METEOR 650
LOCATION: Rajasthan, INDIA
ราคา: คาดว่าไม่เกิน 300,000 บาท
ภาพ: นิกสิทธิ์ วงสวัสดิ์ และ Royal Enfield