บอร์ดกสทช.นัดพิเศษไฟเขียว ร่างประกาศยกเลิกเงื่อนไข Must Have จัดรับฟังความเห็นประชาชนภายใน 30 วันก่อน ชี้ตอบโจทย์พฤติกรรมคนดูทีวีมากขึ้น
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(บอร์ดกสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นควรยกเลิกประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 (ประกาศ Must Have) ซึ่งเป็นประกาศที่กำหนดให้รายการกีฬา 7 ประเภท คือ โอลิมปิก เอเซียนเกมส์ ซีเกมส์ เอเซียนพาราเกมส์ อาเซียนเกมส์ พาราลิมปิกเกมส์ ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ที่หากมีการได้รับสิทธิให้นำมาออกอากาศในประเทศไทย ต้องนำทั้ง 7 รายการ มาเผยแพร่ผ่านทางโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (ภาคพื้นดิน) เป็นอันดับแรก และจะมีผลต่อเนื่องทำให้ทั้ง 7 ประเภทรายการแข่งขัน ก็จะถูกนำสัญญาณไปออกอากาศผ่านระบบดาวเทียม เคเบิล และ IPTV ภายใต้ กฎ Must Carry
ทั้งนี้ที่ประชุม ให้ความเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง ยกเลิกประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 โดยมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปเพื่อนำความเห็นที่ได้มาประกอบการพิจารณาก่อนออกประกาศ โดยมีระยะเวลาในการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปเวลา 30 วัน ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ต่อไป และที่แก้ไขเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ต้องมีการพิจารณายกเลิก Must Have นั้นเป็นผลสืบเนื่องมากจากกรณีปัญหาการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศการ์ต้า ที่มีความล่าช้า เนื่องจากมีการตั้งกฏ Must Haveไว้ หากมีการถ่ายทอดสดกีฬา ทั้ง 7 รายการ ต้องให้คนไทยได้ดูแบบฟรีๆ ซึ่งทำให้เอกชนมีความกังวลในการลงทุนซื้อลิขสิทธิ์รายการต่างๆเพราะจะต้องปล่อยสัญญาณให้ประชาชนได้ดูฟรีทุกแพลตฟอร์มส่งผลกระทบในแง่ธุรกิจ ดังนั้นหากเงื่อนไขใดไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันก็ต้องมีการทบทวน
ศจ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. โพสต์บัญชีเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องนี้ว่า กฎ Must Have ถูกสร้างขึ้นภายใต้บริบทแวดล้อมของกิจการโทรทัศน์ที่แตกต่างจากในปัจจุบันอย่างมาก (ก่อนมีทีวีดิจิตอล) เพราะในปี 2555 ช่องทางในการรับชมบริการโทรทัศน์ของประชาชนยังมีจำกัด
ขณะที่ในปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่หลากหลายจากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าถึงผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือประจำที่ก็ได้ ส่งผลให้ประชาชนมีพฤติกรรมในการรับชมรายการโทรทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยมีการรับชมทาง IPTV และ OTT เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมักจะเป็นการบริโภคเนื้อหาในลักษณะnon-linear หรือ on demand กล่าวคือไม่เป็นไปตามผังรายการ แต่เป็นตามเวลาที่ผู้ใช้สื่อสะดวก ซึ่งก็จะเป็นเนื้อหาประเภทบันเทิงอย่างซีรี่ส์ หรือภาพยนตร์เป็นหลัก
ในบริบทของ digital disruption ดังกล่าว เนื้อหาแบบlinear ที่ยังจำเป็นต้องดูสด หรือในเวลาจริงเพื่อให้เกิดอรรถรสในการรับชมจะเหลืออยู่ไม่กี่ประเภท และหนึ่งในนั้นคือรายการกีฬาที่ผู้บริโภคให้ความนิยมในการรับชมอย่างแพร่หลายมาตลอด โดยเฉพาะกีฬาในระดับโลกอย่าง ฟุตบอลโลก โอลิมปิก หรือ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เป็นต้น
การขายลิขสิทธิ์การแพร่ภาพและสิทธิด้านเนื้อหา (Broadcasting rights)ได้กลายเป็นกระแสรายได้หลักในธุรกิจกีฬาที่ได้รับประโยชน์จากเงินจำนวนมหาศาลที่ได้มาจากการขายสิทธิเหล่านี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาของสิทธิในการแพร่ภาพรายการกีฬาระดับโลกได้เพิ่มขึ้นแบบเท่าทวีคูณ และกีฬาได้กลายมาเป็นประเภทของเนื้อหาการออกอากาศที่แพงที่สุด และเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อหาโทรทัศน์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปัจจุบัน
การมีกฎ Must Have ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการแพร่ภาพผ่านโทรทัศน์ภาคพื้นดินหรือทีวีดิจิตอลก่อน และต้องมีการส่งสัญญาณต่อเนื่องไปยังทุกโครงข่ายโทรทัศน์ที่ได้รับใบอนุญาตจากกสทช. ตามกฎ Must carry อาจส่งผลในลักษณะบิดเบือนกลไกตลาด เนื่องจากเปิดช่องทางให้เจ้าของลิขสิทธิ์กีฬาระดับโลกอาศัยการดำเนินการตามประกาศ Must Have กำหนดมูลค่าลิขสิทธิ์ที่สูงขึ้น และไม่เปิดช่องให้มีการดีลธุรกิจแบบเลือกประเภทสิทธิได้ แต่ต้องซื้อแบบ all rights เท่านั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดเศรษฐกิจ จำนวนประชากร หรือความนิยมในกีฬาในระดับใกล้เคียงกัน มูลค่าของสิทธิการแพร่ภาพที่ทางไทยต้องจ่ายมักจะสูงกว่าเสมอ ตัวอย่างเช่น ไทยจ่ายค่าสิทธิในการแพร่ภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (64 นัด) ในมูลค่า 1200 ล้านบาท ขณะที่มาเลเซียเสียเงิน 32.5 ล้านริงกิต หรือประมาณ 261.50 ล้านบาทสำหรับ แพ็คเกจถ่ายทอดสด 27 นัด รวมนัดชิงชนะเลิศ และถ่ายทอดเทปบันทึกการแข่งขัน14 นัด
ที่ผ่านมา กฎ Must Have เป็นการแทรกแซงตลาดโดยรัฐ (กสทช.) เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนได้เข้าถึงรายการกีฬายอดนิยมระดับโลก ทว่าด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมโทรทัศน์และสภาพของการหากำไรจากลิขสิทธิ์รายการกีฬาระดับโลกดังที่กล่าวไปแล้ว ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่า รายการกีฬาเป็นรายการที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่มซึ่งอาจไม่เข้าข่ายสิทธิขั้นพื้นฐานในการที่ประชาชนจะได้รับชมฟรี
การยกเลิกกฎ must have น่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการดำเนินการตามกลไกตลาดที่แท้จริง ทั้งตลาดโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล (ฟรีทีวี) ตลาดโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก และตลาดใหม่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการหรือพฤติกรรมการรับชมบริการโทรทัศน์ในปัจจุบันได้อย่างตรงตามบริบทแวดล้อม
แม้ที่ผ่านมา คนไทยจะรับรู้ว่าการมีประกาศ Must Have ทำให้ผู้ประกอบการที่ประมูลทีวีดิจิตอลต้องยินยอมให้นำเอาสัญญาณรายการกีฬา 7 ประเภทดังกล่าวไปออกอากาศผ่านระบบอื่นได้ด้วยแต่ในความเป็นจริง เจ้าของลิขสิทธิ์กีฬาเหล่านี้ก็ได้กำหนดเงื่อนไขการเผยแพร่ออกอากาศกีฬาในรายการสำคัญผ่านโทรทัศน์ภาคพื้นดินหรือฟรีทีวีเพื่อให้ประชาชนได้รับชมอย่างทั่วถึงในสัดส่วนหนึ่งด้วยเช่นกันอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการโอลิมปิกสากลหรือ IOC มีข้อกำหนดให้ต้องนำเนื้อหาการแข่งขันที่ได้รับสิทธิมาเผยแพร่ผ่านทางโทรทัศน์ภาคพื้นดินไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้มีการออกอากาศและขยายฐานการรับรู้ รับชม ของ ประชาชนในวงกว้าง