ที่มาของความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เจาะประวัติศาสตร์จากยุคประเทศราชสู่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส

ที่มาของความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เจาะประวัติศาสตร์จากยุคประเทศราชสู่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส

หมายเหตุ - นี่คือบทแปลบางตอนจากหนังสือ "ประวัติศาสตร์กัมพูชา" (Histoire Du Cambodge) โดย อาเดมาร์ด เลอแคลร์ (Adhémard Leclère) เป็นเจ้าหน้าที่อาณานิคมชาวฝรั่งเศส และยังเป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง และนักมานุษยวิทยา โดย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1886 เลอแคลร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการ (Résident) ในดินแดนอารักขาของฝรั่งเศสในกัมพูชา โดยเริ่มปกครองเมืองกำปอด (จนถึงปี ค.ศ. 1890) จากนั้นไปที่เมืองกระแจะ-สมโบร์ (ค.ศ. 1890-1894) เมืองกระแจะ และสุดท้ายที่กรุงพนมเปญ ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการนายกเทศมนตรี (résident-maire) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 ถึง ค.ศ. 1903 ในปี ค.ศ. 1908 เลอแคลร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการและที่ปรึกษาของผู้ว่าการสูงสุด (Résident Supérieure) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1911 โดยเขาเขียนหนังสือ "ประวัติศาสตร์กัมพูชา" เมื่อปี 1914

หนังสือเล่มนี้มีความยาวหลายร้อยหน้า แต่เราตัดมาเฉพาะในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร หรือ "นโรดม" ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างที่กัมพูชากำลังเปลี่ยนสถานะจากประเทศราชของสยามมาเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส อันเป็นช่วงเวลาที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามาจนถึงปัจจุบันนี้ 

หนังสือเล่มนี้เขียนจากมุมมองของ "นักล่าอาณานิคมชาวฝรั่งเศส" ดังนั้นจึงมองไทยหรือสยามเป็นศัตรูและผู้ก่อกวนการขยายอิทธิพลของฝรั่งเ้ศส และมองเจ้าเขมรที่จงรักภักดีกับตนว่าเป็น "ผู้ชอบธรรม" แต่แม้ว่าจะมีความลำเอียงตามเงื่อนไขในสมัยที่เขียน หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เข้าใจได้ว่า คนกัมพูชาคิดอย่างไรกับไทยในแง่ประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์และชาตินิยมกัมพูชาได้รับอิทธิพลอย่างมาจากการเขียนประวัติศาสตร์อินโดจีนโดยฝรั่งเศส ซึ่งให้ไทยเป็นผู้รุกราน เป็นผู้ช่วงชิง และเป็นศัตรูทางธรรมชาติของกัมพูชา

ต่อไปนี้คือเนื้อหาบางตอนของหนังสือ "ประวัติศาสตร์กัมพูชา" ว่าด้วยรัชกาลของ "นโรดม" 

พระเจ้าองค์ด้วง (สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี) ทรงมีพระโอรสสามพระองค์ คือ เจ้าชายนักองค์ราชาวดี (จรอเลิ้ง) พระชนมายุ 26 ปี เจ้าชายองค์สาร (อู) พระโอรสองค์เล็ก พระชนมายุ 20 ปี และเจ้าชายองค์วัตถา(ศรีวัตถา) (องค์พิม) พระชนมายุ 19 ปี พระโอรสองค์ที่สาม ทั้งสามพระองค์มีพระมารดาต่างกัน

สภาขุนนางชั้นสูงซึ่งเรียกประชุมโดยพระบรมราชินีนาถของพระเจ้าองค์ด้วงและพระอัยยิกา และเจ้าชายทั้งสามพระองค์ ตามคำสั่งที่พระมหากษัตริย์องค์ก่อนทรงทิ้งไว้ ได้เลือกเจ้าชายนักองค์ราชาวดี  ซึ่งยังเป็นกษัตริย์หนุ่ม โดยไม่ลังเล

ในวันราชาภิเษก กษัตริย์หนุ่มทรงได้รับพระราชอิสริยยศหลายพระนาม ซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำในที่นี้ รวมถึงพระนาม "นโรดม" ซึ่งพระมหากษัตริย์แห่งสยามได้พระราชทานแก่พระองค์แล้วในโอกาสเสด็จกลับกัมพูชาในปี ค.ศ. 1856 โดยทรงตั้งให้เป็นอุปราช พระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงส่งพระราชทานอนุมัติโดยทันที และทรงสัญญาอย่างคลุมเครือว่าจะเสด็จพระราชดำเนินมาเพื่อสวมมงกุฎให้แก่พระมหากษัตริย์องค์ใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ (กษัตริย์สยาม) ก็ทรงอนุญาตให้องค์วัตถา ซึ่งพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และทรงทราบดีว่าองค์วัตถาอิจฉาพระเชษฐาและไม่พอใจ กลับไปยังกัมพูชาได้

หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นโรดมก็เริ่มก่อสร้างพระราชวังในเมืองอุดงทางทิศตะวันตกของสระสรง รวมถึงที่ประทับสำหรับพระมเหสีและสนม หอเต้นรำสำหรับการแสดงละคร และห้องสมุดที่มีผนังดินและหลังคามุงจาก เมื่อการก่อสร้างเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ พระองค์ก็เสด็จเข้าประทับในพระราชวังในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1860

พระองค์ทรงต้อนรับองค์วัตถา เสมือนน้องชายที่ดี พระองค์ได้พระราชทานแท่งเงิน 100 แท่ง (8,000 ฟรังก์) แหวนทองคำ เครื่องประดับ และทรงยินยอมให้องค์วัตถาอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสิริวงษ์ พระขนิษฐาร่วมพระราชบิดา แต่เจ้าชายผู้ซึ่งหวังว่าสภาใหญ่จะโปรดปรานเขาตั้งแต่อายุสองขวบ กลับเริ่มวางแผนร้ายต่อกษัตริย์ ต่อเหล่าเสนาบดี และต่อเจ้าฟ้าเมียส หัวหน้าขุนนางผู้เฒ่า ซึ่งเขากลัวมาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา และเขาเคยคิดจะลอบสังหารเขาเพื่อลงโทษที่แต่งตั้งพี่ชายของเขาเป็นกษัตริย์และเป็นผู้ปกป้องเขาที่สำคัญที่สุด เจ้าฟ้าเมียสเรียกเขาไปที่บ้าน ตำหนิเขาอย่างรุนแรง และเจ้าชายก็หวาดกลัวจนสงบนิ่งไปทั้งปี หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวางแผนร้ายอีกครั้ง

ในเวลานั้น องค์วัตถาเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีทักษะในการพูดจาโน้มน้าวใจผู้คน และชื่นชอบสตรีและประชาชน ซึ่งมักเปรียบเสมือนผู้หญิงในสายตาของเขาเสมอ เขาฉลาด มีการศึกษา แต่ขี้หึง และพูดภาษาเขมรได้ดีกว่านโรดม ผู้ซึ่งชอบพูดภาษาไทยมากกว่า น่าเสียดายที่เขารู้จักแต่งเติมคำพูดและเรื่องราวของตนด้วยเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยกล่าวหาว่าพระเชษฐาผู้เป็นกษัตริย์ มีศีลธรรมที่เสื่อมทราม มีความสัมพันธ์กับน้องสาวหลายคนและภรรยาของบิดา เขาทะเยอทะยานและไร้คุณธรรม สามารถบ่อนทำลายราชอาณาจักรได้ด้วยการพยายามยึดอำนาจ

ผู้สนับสนุนของเขา รวมถึง สนองโสร์ ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายแม่ ได้ทำการปลุกปั่นที่บาพนมและพยายามหาผู้สนับสนุน กษัตริย์จึงส่งข้าหลวงไปตามสนองโสร์ให้กลับไปยังอุดง และเมื่อมาถึงก็มอบตัวให้เจ้าฟ้าเมียสให้ตัดสินคดี สนองโสร์ปฏิเสธที่จะมาปรากฏตัวและไปขอความคุ้มครองจากองค์วัตถา ผู้ซึ่งเลิกเข้าเฝ้ากษัตริย์แล้ว นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า องค์วัตถาได้ส่งคนอื่นๆ ไปยังกัมพูชาโดยคำสั่งของพระมหากษัตริย์แห่งสยาม เพื่อเฝ้าติดตามเหล่าเจ้าชายและขุนนางที่นั่น และรายงานไปยังกรุงเทพฯ ว่าใครบ้างที่ไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แห่งสยาม

ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อองค์วัตถาและชายาปล่อยให้กษัตริย์ต้องรอคอย และไม่ได้เข้าร่วมพิธีพระศพครั้งหนึ่งของพระเจ้าองค์ด้วง นโรดมจึงสั่งให้น้องชายออกจากราชอาณาจักรไปพร้อมกับเพื่อนๆ และกลับไปกรุงเทพฯ กับทูตสยามที่เพิ่งนำโกศทองคำมาให้เขาในนามของกษัตริย์สยาม เพื่อบรรจุอัฐิของพระบิดา เจ้าชายองค์วัตถาและพระชายาปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง กษัตริย์หมดความอดทนและสั่งให้เหล่าเสนาบดีจับกุมเจ้าชายผู้ไม่เชื่อฟัง ด้วยความไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด—นโรดมผู้ครองราชย์ หรือองค์วัตถาผู้ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่โปรดปราน—พวกขุนนางจึงเกิดความลังเลอย่างยิ่งและไม่กล้าลงมือ กษัตริย์จึงพยายามรวมกลุ่มชาวคาทอลิกกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของชาวโปรตุเกสที่มุ่งมั่นจะจับกุมองค์วัตถาแต่ก็ไม่สำเร็จ องค์วัตถาขัดขืน และเมื่อถูกบีบคั้นมากเกินไป องค์วัตถาจึงขึ้นม้า ขี่ฝ่าแนวรบที่เปิดทางให้เขาอย่างเอื้อเฟื้อ และหนีไปพร้อมกับหญิงสาวที่เขาจับตัวมาจากวัง หญิงสาวผู้นั้นมีส่วนสำคัญไม่น้อยในสาเหตุ หรือแท้จริงแล้วเป็นสาเหตุลับของความขัดแย้งที่เพิ่งปะทุขึ้นระหว่างสองตระกูล พระมารดาขององค์วัตถาถูกจับในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับลูกชายและถูกคุมขังในพระราชวัง

สงครามจึงปะทุขึ้นระหว่างพี่น้องทั้งสอง และกัมพูชาจะต้องประสบกับเหตุที่สมาชิกราชวงศ์สองคน โอรสของกษัตริย์สองพระองค์ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอีกครั้ง และอาณาจักรก็ล่มสลาย กองทหารหลวงของผู้ว่าราชการแห่งเมืองบาพนม ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับสนองโสร์และรามายุทเธียในตอนแรก ต่อมาก็ได้รับชัยชนะบ้าง แต่มีความสำคัญเพียงเล็กน้อย กษัตริย์นโรดมทรงท้อแท้และเห็นว่าประชาชนกำลังเห็นสงครามฆ่าฟันกันเองระหว่างพี่น้องนี้ด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงเสด็จขึ้นเรือและเสด็จออกจากที่นั่น โดยทางแม่น้ำและทะเลสาบไปยังพระตะบอง พร้อมกับนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไปด้วย (สิงหาคม 1861)

ศัตรูของพระองค์ได้รับชัยชนะ วีรบุรุษแห่งการรบ นายพลเพียงคนเดียวในสงครามกลางเมืองครั้งนี้ที่แสดงให้เห็นถึงพลังและความสามารถ คือ รามายุทเธีย ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดง แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรและเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์โดยไม่พยายามควบคุมประเทศหรือบังคับให้ผู้ว่าราชการคนอื่นๆ เชื่อฟังเขา เขาเป็นนักรบแต่ไม่มีความรู้เรื่องการปกครองหรือการเมือง ทันใดนั้นเอง ชาวจามและชาวมาเลย์แห่งตโบงขมุม ซึ่งในสมัยพระเจ้าองค์ด้วงได้ก่อกบฏ พ่ายแพ้ และหนีไปยังเจิวด๊ก (ในเขตเวียดนามใต้หรือโคชินชีน) ก็ได้ตกลงกับผู้ร่วมศาสนาเดียวกันจากเมืองละแวกและเมืองกำปงลวง ซึ่งเพิ่งปฏิเสธที่จะสนับสนุนกษัตริย์ และเสนอให้พระราชอัยยิกาซึ่งประทับอยู่ที่พระราชวังอุดงพร้อมกับสมาชิกราชวงศ์บางส่วนและสตรีในวังทั้งหมด เข้าข้างกษัตริย์ ทรัพย์สิน ยศถาบรรดาศักดิ์ และตำแหน่งเดิมที่ถูกยึดไปก็ได้รับการคืนให้ และพวกเขาก็ออกไปทำสงคราม พระพันปีหลวงเรียกรามายุทเธียมาพบ ตำหนิเขาเรื่องที่เขาทรยศบ้านเมือง และเมื่อไม่สามารถได้อะไรจากชายผู้หยาบคายและโง่เขลาผู้นี้ที่เอาแต่เงียบอยู่ต่อหน้านาง นางจึงสั่งให้เขาออกจากอุดงไปทันที นายพลกบฏเชื่อฟังและพูดคุยกับทหารของเขาเกี่ยวกับการมุ่งไปพนมเปญ

ที่นั่นเขาพบเรือปืนลำหนึ่งที่มาจากโคชินชีน (เวียดนามใต้) เพื่อคุ้มครองคณะมิชชันนารีคาทอลิกของฝรั่งเศส และด้วยความหวาดกลัว เขาจึงรับปากกับผู้บัญชาการเรือปืนลำนั้นว่าจะซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ที่เกิดจากพญาลือ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็จ่ายเงินให้บิชอปมิเช่ 4,000 ฟรังก์ทันที และสัญญาว่าจะจ่ายอีก 12,000 ฟรังก์ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เรือปืนของเรา (ฝรั่งเศส) ที่พนมเปญ แม้ว่าจะมาเพื่อคุ้มครองมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นการแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือพระเจ้านโรดม ที่จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นไม่ว่าใครจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เพราะตามคำสั่งของบิชอป ชาวคาทอลิกได้ต่อสู้เพื่อพระมหากษัตริย์กัมพูชาเมื่อพระองค์ทรงมีคำสั่งให้จับกุมเจ้าชายองค์วัตถาและพระชายา คือ เจ้าหญิงสิริวงษ์

ในขณะเดียวกัน สงครามก็ปะทุขึ้นอีกครั้งทางตอนใต้ตามแนวชายแดนของเรา (โคชินชีนในการปกครองของฝรั่งเศส) และยืดเยื้อโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดบาพนมกำลังทำการรบอย่างกล้าหาญ มายถูกรามายุทเธียเอาชนะ แล้วก็ถูกเอาชนะอีกครั้ง ทหารฝรั่งเศส 5 นายที่ได้รับอนุญาตให้ลาพักในโคชินชีนและเข้าร่วมกับฝ่ายกบฏในตอนแรก ได้รับแจ้งสถานการณ์จากบิชอปมิเช และกำลังจะเสนอตัวเข้าร่วมการรบในเมืองอุดง การมาถึงของพวกเขาสร้างความหวังให้กับชาวกัมพูชา ดูเหมือนว่าด้วยทหารฝรั่งเศสทั้ง 5 นายนี้ พวกเขาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ องค์โสร์ พระอนุชาของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งแก้วฟ้า และโดยอาศัยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กษัตริย์ จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยามที่พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ (กษัตริย์ประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ) ได้มอบกองเรือให้พวกเขาและสั่งให้ยึดป้อมปราการและค่ายของรามายุทเธียที่แมอาตกรัสสะ เมื่อทราบว่ากองเรือนั้นอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของชาวฝรั่งเศส 5 คน พวกนั้นจึงปฏิเสธที่จะต่อสู้และหนีไปพร้อมกับกองทัพของตน

ไม่นานนักกษัตริย์นโรดมก็ทรงตระหนักว่าพระองค์คิดผิดที่ออกจากกัมพูชา และเมื่อเห็นว่าพระอนุชาของพระองค์คือ แก้วฟ้า กำลังปกครองอาณาจักรและนำทัพทำสงครามกับองค์วัตถา พระองค์จึงทรงคิดว่าพระอนุชากำลังทำงานต่อต้านพระองค์และคิดจะแย่งชิงตำแหน่งแทน แต่พระองค์ทรงเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เจ้าชายสีสุวัตถิ์ก็ยังคงตกเป็นเหยื่อของการกระทำอันชั่วร้ายของพระเชษฐาของพระองค์ คือ องค์กษัตริย์อยู่เสมอ

ในเวลานั้นเองที่ขุนนางแห่งกรุงอุดงได้เร่งเร้าให้บิชอปมิเชเขียนจดหมายถึงกงสุลฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ เพื่อขอเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์แห่งสยาม และขอให้ส่งเรือกลไฟมาขนส่งพระเจ้านโรดมไปยังเมืองกำปอด รวมถึงขอให้ส่งกองทัพสยามมาผ่านเมืองพระตะบองเพื่อมาสนับสนุนพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม พระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงยินดีที่จะเข้าแทรกแซงในกัมพูชาอีกครั้งและทรงหวังที่จะฟื้นฟูอิทธิพลของพระองค์ จึงทรงให้นำพระองค์มายังกำปอด พระเจ้านโรดมเสด็จกลับอุดงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1862 และอำนาจของพระองค์ก็ได้รับการฟื้นฟูในทันที ความพยายามในการปรองดองครั้งนี้ ยกเว้นเรื่องการเสด็จกลับของพระมหากษัตริย์นั้น ขัดแย้งกับนโยบายที่เรา (ฝรั่งเศส) ได้ตัดสินใจไว้ เนื่องจากเป้าหมายคือการแทรกแซงของสยาม แม้ว่าเราจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดของกัมพูชา บิชอปจึงถูกตักเตือนอย่างสุภาพ และพระมหากษัตริย์แห่งสยามก็ไม่ได้ส่งกองทัพมา

รามายุทเธียถูกประหาร สนองโสร์ถูกขัง แต่แล้วหลบหนีไปลี้ภัยที่โคชินชีน ส่วนนักองค์วัตถาหลบซ่อนตัว ผู้สนับสนุนหลายคนถูกเนรเทศไปยังเกาะกำปงตรอเลียจ (ปูโลคอนดอร์) เหล่ากบฏจึงหายสาบสูญไป ในทางกลับกัน กษัตริย์แห่งกัมพูชาพบว่าตนเองตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์แห่งสยามยิ่งกว่าเดิม และอาณาจักรของพระองค์ก็กำลังตกอยู่ในภาวะพึ่งพาอย่างหนักจนดูเหมือนว่าผู้ปกครองสยามจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียวในไม่ช้า

ในปีเดียวกันนั้น ชายพิการชื่อบาได้รวบรวมกลุ่มชายหนุ่มในจังหวัดสำโรงลง แล้วเดินทางไปยังอุดงเพื่อโจมตีพระราชวัง แต่เมื่อพ่ายแพ้ กองทัพของเขาก็แตกกระเจิง เขาจึงหลบหนีระหว่างกองทหารหลวงที่ไล่ตามมาและไปถึงจังหวัดโพธิสัตว์ได้ ที่นั่นเขาถูกจับกุม ถูกนำตัวขึ้นเกวียนไปยังเมืองหลวง เขาเสียชีวิตระหว่างทาง ศพของเขาถูกนำไปตั้งแสดงที่จัตุรัสสาธารณะของอุดงเป็นเวลาสามวัน ก่อนจะถูกแขวนไว้ที่วัดพซาร์ดิก โดยคว่ำศีรษะลงและผ่าอก

ในเวลานั้น พระศพของอดีตพระมหากษัตริย์องค์ด้วงได้รับการประชุมเพลิง และเถ้ากระดูกได้ถูกบรรจุไว้ในโกศทองคำที่ส่งมาจากพระมหากษัตริย์องค์ก่อนของสยาม

ก่อนเหตุการณ์เหล่านี้ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 พลเรือเอกชาร์เนอร์ ผู้บัญชาการกองทัพเรือ (ฝรั่งเศส) ในไซง่อน (ในโคชินชีน) ได้ส่งนายทหารเรือไปแจ้งกษัตริย์นโรดมว่า รัฐบาลฝรั่งเศสได้ตัดสินใจจัดตั้งถิ่นฐานถาวรในโคชินชีน และแสดงความปรารถนาที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา ในระหว่างการสนทนา นายทหารผู้นี้ได้แจ้งกษัตริย์ว่า พลเรือเอกชาร์เนอร์ปรารถนาให้ราชอาณาจักรคงความเป็นอิสระจากการเป็นพันธมิตรกับชนชาติอื่น และตราบใดที่ความเป็นอิสระนี้เป็นจริง ฝรั่งเศสจะเป็นมิตรกับชาวกัมพูชา กษัตริย์ทรงยืนยันว่าอิสรภาพของพระองค์ต่อสยามที่พ่ายแพ้นั้นสมบูรณ์ และพระองค์ไม่ได้ทำสัญญาผูกพันใดๆ ที่จะทำให้อิสรภาพนั้นเสียหาย โดยที่พระองค์ไม่ได้ปิดบังข้อเท็จจริงจากนายทหารฝรั่งเศสว่า ราชอาณาจักรดำรงอยู่ได้เพราะสยาม เนื่องจากสยามได้แย่งชิงอาณาจักรกัมพูชามาจากชาวอันนาม (เวียดนาม) ซึ่งปกครองอาณาจักรตามขนบธรรมเนียมของตนเองและมีขุนนางชาวอันนามเป็นผู้ปกครองอยู่แล้ว ในทางตรงกันข้าม ปรากฏให้เห็น หรืออย่างน้อยก็สามารถสังเกตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่กษตริย์นโรดมเสด็จกลับกรุงอุดง ว่าพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชาทรงอยู่ภายใต้คำสั่งของพระมหากษัตริย์แห่งสยามมากขึ้นเรื่อยๆ และทรงถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดโดยผู้แทนชาวสยามที่อาศัยอยู่ในกรุงอุดง แต่เราไม่ทราบถึงการมีอยู่ของคนสยามเหล่านั้นมาก่อนจนกระทั่งถึงเวลานั้น

เป็นที่เชื่อกันว่าฝรั่งเศสไม่อาจยอมรับได้ที่ผู้คนซึ่งอยู่ใกล้กับโคชินชีนต้องตกเป็นประเทศราชของกษัตริย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งเคยใฝ่ฝันและยังคงใฝ่ฝันที่จะผนวกดินแดนนั้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน เนื่องจากพระมหากษัตริย์แห่งสยามได้ส่งผู้แทนชาวสยามหรือพระยาราชไปยังอุดงอย่างลับๆ พลเรือเอกจึงตัดสินใจส่งผู้แทนชาวฝรั่งเศสไปที่นั่นอย่างเปิดเผย และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1862 นายดูดาร์ท เดอ ลาเกรย์ นายทหารเรือยศร้อยโท ได้ขึ้นฝั่งจากเรือเกียดินห์ ที่เมืองกำปงลวง โดยมีภารกิจที่จะปรากฏตัวทุกที่ เดินทางไปทั่วประเทศ ข้ามแม่น้ำไปมา เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์บ่อยๆ และไม่อนุญาตให้มีคนกลางระหว่างพระองค์กับเจ้าแห่งกัมพูชา

ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสก็รู้ความจริงทั้งหมดที่ถูกปกปิดจากเรา และรู้ว่าพระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงมีอำนาจในอุดงมากกว่านโรดมเสียอีก เขาจึงแจ้งเรื่องนี้ให้รัฐบาลโคชินชีนทราบ และปามีร์ ลา กรองดิแยร์ ผู้ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากพลเรือเอกบอนนาร์ด เข้าใจว่าการกระทำของสยามนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นอันตรายต่อกัมพูชาและอิทธิพลของประเทศของฝรั่งเศส จึงตัดสินใจที่จะยุติเรื่องนี้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

แปล เรียบเรียง และอธิบายโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - พระบาทสมเด็จพระนโรดมที่ 1 (พ.ศ. 2477-2447) ในภาพนี้ประทับบนบัลลังก์และทรงสวมมงกุฎ พระองค์ทรงครองราชย์เหนือประเทศกัมพูชาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2403 จนกระทั่งเสด็จสวรรค์ในปี พ.ศ. 2447 และทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของกัมพูชาภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส (Bibliothèque de l'ancien Musée des colonies (Paris))

TAGS: #กัมพูชา #ไทย #ฝรั่งเศส #ประวัติศาสตร์