ตั้งแต่ช่วงแรกที่ไทย-กัมพูชาปะทะกันเมื่อกลางปีนี้ เวลาที่จะมีการสาวไส้สาเหตุความขัดแย้ง ทั้งในไทยและต่างประเทศก็มักจะลากยาวไปถึง "เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส" ว่าเป็นตัวการของเรื่องวุ่นวายที่ชายแดน
บ้างก็ว่าฝรั่งเศสทำแผนที่กำกวม บ้างก็ว่าเพราะฝรั่งเศสใช้อำนาจกดขี่ไทยให้ยอมรับการลากเส้นที่ไม่เป็นธณรม บ้างก็เพราะกัมพูชากระซิบบอกนายฝรั่งให้ช่วยเอาดินแดนของไทยมาให้ตน
แต่การกล่าวโทษฝรั่งเศสเป็นแค่ "เครื่องเคียงทางประวัติศาสตร์" ที่ใช้เพื่อลด "ความเผ็ดร้อนของความขัดแย้งในปัจจุบัน" เท่านั้น และมันไม่ใช่สาเหตุหลักๆ
สื่อและนักคิดของฝรั่งเศสก็อ้างบทบาทของตนในอดีตอยู่เหมือนกันเวลาติดตามสงครามไทย-กัมพูชา โดยให้มุมมองที่แหลมคมมากกว่าการกล่าวโทษฝรั่งเศสอย่างเป็นพิธี
และเราควรพูดถึงทัศนะของฝรั่งเศสกันบ้าง ก็เพราะฝรั่งเศสเป็นพวก "ลูกอีช่างคิด" และคิดไม่ค่อยเหมือนพวกนักคิดและนักข่าวในโลก Anglophone (โลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) แม้แต่มุมมองของสงครามและสันติภาพก็ไม่เหมือนพวกอื่นๆ
ฝรั่งเศสเป็นพวกนักคิดนักเขียนและนักปรัชญา และมองอะไรแปลกมุมกว่าคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าจะมองได้รอบด้านไปหมด
ดังนั้น ผมอยากจะ "วิเคราะห์ซ้อนวิเคราะห์" งานวิเคราะห์ของนักคิดและนักข่าวในฝรั่งเศสดูบ้าง
สำนักข่าว Radio France เผยแพร่บทสัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้เรื่อง "ต้นกำเนิดของความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา: เหตุใดการหยุดยิงจึงไม่ยั่งยืน" โดยมีการพูดคุยระหว่างผู้ดำเนินรายการของ Radio France กับ ดาวิด กองรูซ์ (David Camroux) นักวิจัยร่วมของศูนย์การศึกษานานาชาติ (CERI) แห่งสถาบันการศึกษารัฐศาสตร์ หรือ Sciences Po
การสัมภาษณ์นี้ยังแนบบทความอธิบายเนื้อหาการพูดคุยไว้ด้วย โดยกล่าวแต่แรกว่า"ข้อพิพาททางดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีต้นกำเนิดมาจากการกำหนดเขตแดนระหว่างปี 1904 ถึง 1907 และมีรากฐานมาจากมรดกของการล่าอาณานิคม" จากนั้นก็อ้างถึงทัศนะของ ดาวิด กองรูซ์ ที่กล่าวว่า "เส้นแบ่งเขตแดนที่ถูกกำหนดขึ้นระหว่างอินโดจีนของฝรั่งเศสและสยามได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างลึกซึ้ง เหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สอง และการกลับไปใช้เขตแดนก่อนสงคราม ได้จุดประกายความต้องการที่จะได้ "บ้านเกิดเมืองนอนที่สูญหาย" (patrie perdue) ขึ้นมาอีกครั้ง"
แนวคิดของ ดาวิด กองรูซ์ เรื่อง "บ้านเกิดเมืองนอนที่สูญหาย" นี้ ผมอยากจะวิเคราะห์ว่าน่าจะหมายถึงการที่ไทยต้องการดินแดนกัมพูชาที่ไทยเคยครอบครองมาก่อน เช่น ในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีนที่ไทยกลับไปครอบครองศรีโสภณ เสียมราฐ แลพระตะบองอีกครั้ง (หลังจากได้มาในสมัยรัชกาลที่ 1 และเสียไปในรัชกาลที่ 5) ดังที่ กองรูซ์ เอ่ยถึง "เหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สอง และการกลับไปใช้เขตแดนก่อนสงคราม ได้จุดประกายความต้องการที่จะได้ "บ้านเกิดเมืองนอนที่สูญหาย"
อย่างไรก็ตาม กองรูซ์ คงจะไม่ติดตามความเป็นไปในประเทศไทยอย่างละเอียด ซึ่งหากเขามาแฝงตัวในสังคมไทยนานชักช่วงยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมาจะพบว่ากระแสชาตินิยม (Nationalism) ในไทยนั้นตกต่ำอย่างมาก
พูดง่ายๆ คือคนไทยไม่เพียงรักชาติน้อยลง แต่ยัง "ชังชาติ" มากขึ้น โดยเห็นว่าความรักชาติถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อหวังผลทางการเมืองในช่วงที่เกิดความแตกแยกทางการเมือง และในโลกวิชาการของไทยยังประโคมแนวคิดเรื่อง "ชาติไม่มีอยู่จริง" โดยสั่งสอนว่าชาติเป็นสิ่งสมมติและพรมแดนก็สมมติขึ้นมา "มนุษย์ควรจะอยู่ร่วมกันฉันภราดรภาพโดยไม่พรมแดนมาขวางกัน" ดังนั้น ช่วงนี้คนไทยจึงพยายาม "รัก" และ "โปร" เพื่อนบ้านอย่างหนัก และตำหนิชาติตัวเองว่าชอบไปกดขี่และดูแคลนชาติอื่น
นอกจากชาตินิยมไทยจะตกต่ำถึงเพียงนั้นแล้ว แนวคิดเรื่องปรารถนาดินแดนเดิม (Irredentism) ของไทยยังไม่มี คือไม่มีความคิดเอาเลยในหมู่ประชาชน (และยิ่งหนักในหมู่นักวิชาการสายไม่ชอบชาติ) ที่จะต้องการดินแดนของไทยคืนมาก่อนยุคล่าอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นดินแดนเพื่อนบ้านใดก็ตาม ตรงกันข้าม ยังมีความคิดของคนไทยบางกลุ่มด้วยซ้ำที่คิดอุตริอยากจะเอาอีสานไปรวมกับลาวบ้าง เอาล้านนาไปรวมกับพม่าบ้าง และเอาสามจังหวัดใต้ให้เป็นรัฐมลายู
ในช่วงนั้นจนถึงก่อนถึงสงครามไทย-กัมพูชาล่าสุด ไทยไม่มีความคิดที่อาลัยอาวรณ์ "บ้านเกิดเมืองนอนที่สูญหาย" (patrie perdue) เอาเลย
ตรงกันข้าม กัมพูชาต่างหากที่อยู่ในวังวนของชาตินิมและมัวเมากับความปรารถนาจะได้ดินแดนเดิม โดยเฉพาะการเมืองกัมพูชานั้นขับเคลื่อนด้วย Nationalism ส่วนภาคประชาชนนั้นขับเคลื่อนด้วย Irredentism
การใช้ Nationalism ของพวกฮุนเพื่อหวังผลทางการเมืองนั้นเป็นที่รับทราบกันดี แต่คนไทยเพิ่งจะมาตระหนักว่าประชาชนเขมรก็หลงไหลในแนวคิด Irredentism อย่างมาก็เมื่อเร็วๆ นี้
ทั้งสองแนวคิดนี้เป็นภยันตรายอย่างมากต่อไทยซึ่งพิกลพิการมานานหลายสิบปีในเรื่องชาตินิยมและความเป็นเอกภาพของชาติ
ภยันตรายนี้ได้ถูกชี้ให้เห็นตังแต่ก่อนจะเกิดสงครามแล้ว แต่ไม่มีใครใส่ใจ จนกระทั่งมันกลายเป็นรูปธรรมในที่สุด นั่นคือการรุกรานและการฆ่าฟัน อันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่สุดสำหรับทั้งสองชาติที่ควรจะเป็น "อารยะประเทศ" กันได้แล้ว โดยเฉพาะกัมพูชาที่ควรจะเลิกแนวคิด Irredentism อันไม่เป็นสากลนิยมอย่างยิ่ง
แม้เราจะทราบว่าไทยขาดชาตินิยมและไม่อยากได้ดินแดนใคร ส่วนกัมพูชานั้นตรงกันข้าม แต่ "คนนอก" กลับมองสถานการณ์แบบเหมารวม เช่นสื่อและนักคิดฝรั่งเศสดังกล่าวซึ่งพยายามจะบอกว่า ไทยมีความโหยหา patrie perdue ที่เสียไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยไม่ได้เอ่ยถึงความบ้าคลั่งในกัมพูชาเรื่องชาตินิยมและความกระหายดินแดนเดิมที่ถูกปั่นอย่างหนักมาตลอดหลายสิบปี
นี่คือมุมมองที่ขาดความรอบคอบ แต่ก็สะท้อนความคิดของนักคิดและนักข่าวตะวันตกที่พยายามอธิบายสถานการณ์ไทย-กัมพูชาแบบรวบรัดในทำนองว่า "ทั้งสองประเทศกล่าวโทษกันไปมา" ซึ่งเป็นการอธิบายแบบขอไปที ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะไทยและเขมรไม่ใช่ประเทศที่โลกจะต้องมาใส่ใจอะไรทุกวัน
แต่ถ้าจะพยายามลงลึกถึง "ต้นเหตุความขัดแย้ง" แล้วล่ะก็ ควรจะมองสถานการณ์ในสองประเทศนี้ให้ลึกถึงแก่นอย่างมาก แล้วจะพบว่าประเทศที่โหยหา patrie perdue นั้นไม่ใช่ไทย แต่เป็นกัมพูชามาโดยตลอด
บทความประกอบการสัมภาษณ์ ดาวิด กองรูซ์ ยังพยายามอธิบายต่อไปว่า "นอกเหนือจากพรมแดนแล้ว ความสำคัญเชิงสัญลักษณ์นั้นมหาศาล เสียมเรียบและปราสาทนครวัดเป็นตัวแทนของมรดกแห่งจักรวรรดิเขมร ในขณะที่ประเทศไทยประกาศอย่างภาคภูมิใจในสถานะของตนว่าเป็น "ชนชาติเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยถูกล่าอาณานิคม" ธงชาติทั้งสองสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่ขัดแย้งและความโหยหาอดีตจักรวรรดิ ซึ่งก่อให้เกิดความดูถูกเหยียดหยามและความเข้าใจผิดในทั้งสองฝ่าย"
การพรรณนาแบบนี้ยิ่งตอกย้ำว่า สื่อและนักคิดตะวันตกมองสถานการณ์แบบเหมารวม โดยคิดว่าไทยมีแนวคิดโหยหาย "จักรวรรดิไทย" ซึ่งอย่างที่ผมอธิบายไปแล้วว่า "ชาตินิยมไทยมันแทบจะตายไปแล้วก่อนหน้านี้" ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจักรวรรดินิยมในความคิดของคนไทย
แต่ในกัมพูชา คนเขมรกับหมกมุ่นกับการรื้อฟื้น "จักรวรรดิเขมร" ทั้งในแบบเรียนไปจนถึงสื่อรูปแบบต่างๆ ทำให้คนกัมพูชาร้อยทั้งร้อยเกือบจะมีความคิดเหมือนกันหมดว่า "ไทยคือโจร" หรือ "โจรสยาม" ที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจาก "จักรวรรดิเขมร" ไป
เนื่องจากสื่อและนักคิดตะวันตกไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงในกัมพูชาและทัศนะของคนกัมพูชาต่อไทย ทำให้เกิดการอธิบายที่ "ไม่สมมมาตร" ด้วยการทำให้ทั้งไทยและกัมพูชา "สมมาตร" นั่นคือ เป็นพวกหลงชาตินิยมและหลงความยิ่งใหญ่แต่เก่าก่อนพอๆ กัน ทั้งๆ ที่มีชาติหนึ่งไม่ได้เป็นแบบนั้น
การอธิบายที่เหมารวมและไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ ทำให้ชาวโลกยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองประเทศกันแน่ "ในระดับรากเหง้า" (ไม่ใช่สถานการณ์ชายแดนเท่านั้น)
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเห็นว่าเบื้องต้น ประเทศอื่นๆ ไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจพวกเรา (ไทยกับเขมร) เพราะความจำเป้นเร่งด่วนกว่านั้นคือทำให้คนไทยและเขมรเข้าใจและปรองดองกันได้อย่างไรมากกว่า
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ประชาชนโบกธงชาติกัมพูชาขณะเข้าร่วมการเดินขบวนเพื่อสนับสนุนกัมพูชาและเรียกร้องสันติภาพในความขัดแย้งชายแดนกัมพูชา-ไทย ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 (ภาพโดย AFP)