ผู้หญิงกัมพูชาที่กล้าด่าไทยกลางเวทียูเนสโก เธอคือ 'เภือง สกุณา'รัฐมนตรีวัฒนธรรมที่ไม่รู้จักวัฒนธรรม

ผู้หญิงกัมพูชาที่กล้าด่าไทยกลางเวทียูเนสโก เธอคือ 'เภือง สกุณา'รัฐมนตรีวัฒนธรรมที่ไม่รู้จักวัฒนธรรม

สัปดาห์นี้ กัมพูชาเล่นใหญ่ต่อหน้าคณะกรรมการมรดกโลก เมื่อ 'เภือง สกุณา' (ភឿង សកុណា) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ กล่าวว่า ไทยเลียนแบบนครวัดด้วยการสร้างวัดภูม่านฟ้า ที่ จ. บุรีรัมย์ 

ในการพูดอย่างเป็นทางการในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 47 ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เภือง สกุณา กล่าวว่า “ราชอาณาจักรกัมพูชาขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องต่อการปกป้องแหล่งมรดกโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนครวัด ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และยังเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของกัมพูชาอีกด้วย”

เภือง สกุณา "วันนี้ เราขอแจ้งให้สมาชิกคณะกรรมการกัมพูชาทุกท่านทราบถึงข้อกังวลของคณะกรรมการกัมพูชาเกี่ยวกับการก่อสร้างปราสาทนครวัดจำลองขนาดใหญ่ในจังหวัดโบเรรอม ประเทศไทย โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับกัมพูชาและไม่เคารพคุณค่าทางวัฒนธรรมของกัมพูชา การก่อสร้างนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ ความถูกต้องแท้จริง และคุณค่าอันโดดเด่นสากล (OUV) ของโบราณสถานนครวัดทั้งหมดอีกด้วย” 

เภือง สกุณา กล่าวว่า "แม้เราจะพยายามเจรจากับฝ่ายไทยมามากแล้ว แต่การก่อสร้างนี้ก็ยังไม่หยุดหย่อน กรณีการสร้างแบบจำลองนี้กำลังสร้างตัวอย่างที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับแหล่งมรดกโลกทุกแห่ง" เธอยังได้เรียกร้องให้ยูเนสโก รวมถึงหน่วยงานที่ปรึกษาของยูเนสโกทุกแห่ง พิจารณาประเด็นนี้ด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมยูเนสโก ได้ "ตบหน้า" เภือง สกุณา และประเทศกัมพูชาของเธอ โดยกล่าวว่าราชอาณาจักรไทยเชื่อมั่นว่ามรดกทางวัฒนธรรมควรเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน มิใช่นำมาซึ่งความแบ่งแยก และฝ่ายไทยรู้สึกประหลาดใจและผิดหวังต่อคำกล่าวของหัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชาว่าการก่อสร้างวัดภูม่านฟ้าเป็นการลอกเลียนแบบปราสาทนครวัด และเห็นว่าเวทีมรดกโลกเป็นเวทีที่ไม่เหมาะสมที่จะหยิบยกประเด็นดังกล่าว อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่แอบแฝง 

ท่าทีอันพิกลของกัมพูชาที่แสดงออกผ่าน เภือง สกุณา สร้างความขบขันให้กับชาวไทยเป็นอย่างมากที่กัมพูชาประณามไทยว่าก๊อปปี้นครวัด ทั้งๆ ที่กัมพูชาก๊อปปี้ศิลปวัฒนธรรมไทยไปมากมาย โดยที่ไทยท้วงติงไปหลายครั้งแต่ก็ไม่แสดงความรู้สึกรู้สาอะไร ตรงกันข้าม กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาภายใต้การนำของ เภือง สกุณา ยิ่งสนับสนุนการอ้างวัฒนธรรมไทยว่าเป็นของกัมพูชาหลายครั้ง

เภือง สกุณา คือใคร? เธอเกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2502 โดยไม่ได้มีพื้นเพทางวัฒนธรรมเลย (เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของไทย) โดยเมื่อ พ.ศ. 2530 ได้ประกาศนียบัตรปริญญาโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์ สถาบัน Gubkine ในมอสโก ประเทศสหภาพโซเวียต ในปี พ.ศ.  2541 ได้ปริญญา สาขาจุลชีววิทยา Ecole Nationale Supérieur de Biologie Appliquée à la Nutrition et de l'Alimentation (ENSBANA) มหาวิทยาลัยบูร์กอญ ประเทศฝรั่งเศส และปี พ.ศ. 2545 ได้ปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์การอาหาร (จุลชีววิทยา) มหาวิทยาลัยบูร์กอญ ประเทศฝรั่งเศส

สำหรับประสบการณ์ก็ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านวัฒนธรรม โดย พ.ศ. 2530-2534: คณาจารย์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2537-2543 หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเคมีและอาหาร (GCA) พ.ศ. 2543-2546 เป็นรองผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีแห่งกัมพูชา (ITC) เป็นพ.ศ. 2546-2551: ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีแห่งกัมพูชา (ITC) และ พ.ศ. 2551-2556: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาแห่งกัมพูชา รับผิดชอบกิจกรรมการวิจัย ความสัมพันธ์ภายนอก ความร่วมมือกับประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสและประชาคมอาเซียน และประธานคณะกรรมการบริหาร ITC

ปัจจุบันเป็นสมาชิกของพรรคประชาชนกัมพูชาที่นำโดย ฮุน เซน เธอยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของสถาบันเทคโนโลยีแห่งกัมพูชา 

ด้วยความด้อยคุณสมบัติด้านวัฒนธรรม ทำให้ เภือง สกุณา จึงมีทัศนคติที่คับแคบและเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เพียงประณามไทยว่าลอกเลียนแบบนครวัดโดยอ้างแบบข้างๆ คูๆ และปราศจากการเปรียบเทียบทางศิลปะอย่างเป็นระบบ แต่เธอยังเป็นหัวหอกในการโจมตีไทยทางการเมืองด้วยวิธีนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น การที่เธอได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจึงเป็นเพียงผู้รับใช้ทางการเมืองของตระกูลฮุนเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ที่ช่วยสืบสานวัฒนธรรม 

ดูเหมือนว่าเครดิตเดียวที่ทำให้เธอกลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก็คือเธอเป็นลูกสะใภ้ของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เชง โพน ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยที่เขาเป็นนักละครเก่าและช่วยฟื้นฟูละครเขมรหลังสงครามกลางเมือง 

อย่างไรก็ตาม เชง โพน มีแนวคิดทางการเมืองที่สุดโต่ง โดยเขาเคยกล่าวว่า การฟื้นฟูอารยธรรมเขมรจึงไม่เพียงแต่ต้องการเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องการนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มี “จิตวิญญาณนักรบ” ซึ่งอาจเป็นแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการทัศนะที่ต้องการจะ "รบทางวัฒนธรรมกับไทย" ของนักการเมืองเขมรรุ่นต่อมา รวมถึง เภือง สกุณา ที่เป็นลูกสะใภ้ของเขาด้วย

หนึ่งใน "แนวรบการแย่งชิงวัฒนธรรมไทย" ที่สำคัญคือการคลั่งไคล้ในการแประกวดนางงามของชาวเขมรในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งถูกชาวไทยกล่าวหามาตลอดว่านางงามและผู้จัดการประกวดที่กัมพูชามักขโมยศิลปะชุดไทยและการประดับประดาแบบไทยไปอ้างว่าเป็นของตนเอง โดยเฉพาะการแต่งชุดแบบไทยไปอ้างว่าเป็นชุดประจำชาติกัมพูชา

ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ เภือง สกุณา ชมชอยการประกวดนางงามเพราะมีวาระซ่อนเร้น โดยมีข่าวว่า ระหว่างที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดประวดมิสแแกรนด์อันอื้อฉาวเมื่อปีที่แล้วจนนำไปสู่การปะทะระหว่างคนไทยกับกัมพูชาเรื่องชาตินิยม เภือง สกุณากล่าวว่า ปฏิกิริยาของสาธารณชนต่อการประกวดนางงามเซ็กซี่ครั้งนี้ เป็นผลมาจากความใส่ใจ ความเข้าใจ และความรักในวัฒนธรรมประจำชาติ และเธอกล่าวว่า สาธารณชนเปรียบเสมือนหูเป็นตาของสถาบันของรัฐ คอยช่วยเหลือและชี้นำซึ่งกันและกันเมื่อเกิดข้อผิดพลาด และให้กำลังใจซึ่งกันและกันเมื่อเกิดความสำเร็จใหม่ๆ

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

TAGS: #ភឿងសកុណា.กระทรวงวัฒนธรรม #กัมพูชา