การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย นอกจากปรากฎการณ์ ‘ปะการังฟอกขาว’ และ ‘น้ำทะเลเปลี่ยนสี’ (Plankton Bloom) ที่ทำให้สัตว์น้ำและพืชล้มตายเป็นจำนวนมาก เสี่ยงต่อการสูญพันธ์ แต่น้อยคนจะรู้ว่าอีกหนึ่งระบบนิเวศสำคัญที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตคือ ‘หญ้าทะเล’
หญ้าทะเล ถือเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะปลาทะเล กุ้งทะเล ปูม้า หอย จนถึงเต่าทะเลบางชนิด นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ปลอดภัยแก่เหล่าสัตว์น้ำขนาดเล็กได้วางไข่และหลบซ่อนศัตรู ตลอดจนทำหน้าที่เป็นแหล่งผลิตออกซิเจน ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดมลพิษในท้องทะเล ปรับปรุงคุณภาพน้ำทะเล และป้องกันการพังทลายของชายฝั่งได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้ทำให้หญ้าทะเลเป็นระบบนิเวศที่สำคัญอย่างยิ่งต่อทะเลไทย

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแหล่งหญ้าทะเลทั้งหมดประมาณ 160,628 ไร่ ใน 17 จังหวัดชายฝั่ง แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 11 จังหวัด มีแหล่งหญ้าทะเลทั้งหมด 54,148 ไร่ ขณะที่ฝั่งอันดามัน 6 จังหวัด มีแหล่งหญ้าทะเลทั้งหมด 106,480 ไร่
“ขณะนี้สถานการณ์หญ้าทะเลอยู่ในขั้นวิกฤตปัจจัยหลักมาจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะโลกร้อนและโลกรวน โลกร้อนส่งให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ส่วนโลกรวนทำให้ระดับน้ำทะเลมีความแปรปรวน เวลาน้ำสูงก็สูงผิดปกติ เวลาน้ำลงก็ลงต่ำผิดปกติ บางปีเราพบว่าระดับน้ำทะเลลดลงถึง 30 ซม. ทำให้ หญ้าทะเลอยู่ในสภาพผึ่งแห้งและโดนแดดนานขึ้น สุขภาพจึงอ่อนแอลง มีลักษณะใบเหลือง ขาด หรือกุดสั้น สุดท้ายก็ตายไป ทำให้สัตว์น้ำจำนวนมากต้องอพยพย้ายถิ่นไปหาแหล่งอาหารใหม่

“จุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือตรังและกระบี่ ซึ่งในอดีตเคยเป็นแนวหญ้าทะเลสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย แต่ทุกวันนี้หญ้าทะเลเสื่อมโทรมไปมากกว่า 70 เปอร์เซนต์ ส่งผลกระทบต่อชาวประมงท้องถิ่นที่ทำอาชีพจับกุ้ง จับหอยชักตีน ทำให้สูญเสียรายได้ โดยเฉพาะพะยูนซึ่งเป็นสัตว์ที่พึ่งพาหญ้าทะเล ตรังถือเป็นบ้านหลังใหญ่ของพะยูนที่เคยมีมากถึง 185 ตัว แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 100 ตัว เนื่องจากมีการกระจายไปหากินในจุดอื่นตามชายฝั่งและบริเวณเกาะในหลายพื้นที่”

หลายปีที่ผ่านมาปรากฏข่าวพะยูนเกยตื้นอย่างต่อเนื่องบริเวณชายฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะจังหวัดตรัง กระบี่ พังงา สตูล และภูเก็ต สร้างความสะเทือนใจให้แก่ประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากพะยูนถือเป็นหนึ่งในสัตว์สำคัญของไทย เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าสงวนคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535
นายปิ่นสักก์กล่าวว่าเมื่อไรก็ตามที่พะยูนตาย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะส่งเจ้าหน้าที่ลงชันสูตรซากพะยูนทุกครั้ง เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุอย่างละเอียด และสิ่งที่ค้นพบคือความตายของพะยูนทุกตัวล้วนเป็นผลมาจากการสูญเสียแหล่งหญ้าทะเล

“เมื่อไม่มีแหล่งหญ้าทะเลก็ไม่มีอาหาร พะยูนจึงถูกบีบบังคับให้อพยพย้ายไปหากินในถิ่นใหม่ จากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่จะว่ายไปทางภูเก็ต พังงา ซึ่งระหว่างการอพยพ พะยูนหลายตัวตายจากการถูกเรือชน ถูกใบพัดเรือ หรือติดอวนของชาวประมง อีกหลายตัวเราสันนิษฐานว่าตายเพราะอาการป่วยเรื้อรังจากการขาดสารอาหารเป็นเวลานาน”
ปัจจุบันมีการคาดการณ์กว่าจำนวนพะยูนในท้องทะเลไทยฝั่งอันดามันเหลือไม่ถึงร้อยตัว ขณะที่สถานการณ์หญ้าทะเลก็ยังคงน่าเป็นห่วง

สำหรับทางออกของวิกฤตครั้งนี้ นายปิ่นสักก์เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้วางมาตรการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการฟื้นฟูหญ้าทะเลและปกป้องพะยูน
“ที่ผ่านมา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้กำหนดพื้นที่คุ้มครองพะยูน ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต 4 พื้นที่ จังหวัดกระบี่ 4 พื้นที่ และจังหวัดพังงา 3 พื้นที่ ขณะเดียวกันได้ส่งโดรนบินสำรวจโดยพบพะยูน 70 ตัว ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ก่อนนำภาพถ่ายมาประเมินสุขภาพของพะยูนว่าแข็งแรงดีหรือไม่ ซึ่งเราได้ข้อมูลว่าพะยูนบางตัวมีพฤติกรรมการหาคู่ นับเป็นสัญญาณดีว่าธรรมชาติเริ่มฟื้นตัว หรือบางตัวมีเชือกรัดบริเวณหาง แสดงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากเรือประมง”
“ต่อมาเราได้หาแนวทางป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากเรือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทดลองกับพะยูน 6 ตัว โดยนำลำโพงมาติดที่หัวเรือเพื่อส่งสัญญาณคลื่นเสียงขณะเดินเรือ เพื่อให้พะยูนว่ายหนีออกไป ป้องกันไม่ให้ถูกเรือชน ซึ่งการทดลองดังกล่าวพบว่ามี 5 สัญญาณเสียงที่ส่งผลต่อพะยูนได้ดีและไกลถึง 100 เมตร ได้แก่ เสียงแตรเรือ เสียงเครื่องเรือใต้ท้องเรือ เสียงฟ้าผ่า เสียงแผ่นดินไหว และเสียงเรือหางยาว อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างเพิ่มพื้นที่การทดลอง และจะศึกษาเพื่อยืนยันประสิทธิภาพผลการทดสอบ ก่อนจะนำไปใช้งานจริงต่อไป เพื่อลดอุบัติเหตุเรือชนพะยูน”

นอกจากนี้ยังมีการจัด ‘วันพะยูนแห่งชาติ’ เป็นประจำทุกปี โดยปี 2568 ใช้แนวคิด ‘รักษ์พะยูนคืนถิ่นเลตรัง’ รวมพลังทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล ต้อนรับพะยูนกลับบ้าน เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกและความเข้าใจในการอนุรักษ์หญ้าทะเลและพะยูนแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป พร้อมผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและร่วมกันรับผิดชอบในการอนุรักษ์พะยูนและระบบนิเวศหญ้าทะเล
สำหรับการแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเล ซึ่งถือเป็นระบบนิเวศที่สำคัญและเป็นแหล่งอาหารหลักของพะยูน นายปิ่นสักก์กล่าวว่าการฟื้นฟูหญ้าทะเลถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญภายใต้แผนปฏิบัติการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (พ.ศ.2559-2560) และแผนระยะยาว 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
“เราเริ่มดำเนินการฟื้นฟูหญ้าทะเลตั้งแต่ปี 2561 โดยปลูกเสริมใช้วิธีแยกกอ (Rehabilitation) และเพาะเมล็ดเพื่อขยายพันธุ์ (Restoration) รวมแล้วกว่า 330 ไร่ หรือประมาณ 520,000 ต้น พร้อมทั้งวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังได้พัฒนารูปแบบการฟื้นฟู ได้แก่ การกำหนดเกณฑ์เลือกพื้นที่ (อัตราการตายต่ำ การเติบโตสูง และความพร้อมของแหล่งพันธุ์) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน สร้างการรับรู้และความเข้าใจผ่านเครือข่ายชายฝั่ง ตลอดจนการทดลองแนวทางใหม่ เช่น การให้หญ้าทะเลฟื้นตัวเองตามธรรมชาติหลังความเสียหาย (Regeneration) โดยไม่พึ่งการปลูกซ่อม หรือการฟื้นฟูป้องกันและลดผลกระทบในพื้นที่ธรรมชาติ เช่น การกั้นคอก รวมทั้งการฟื้นฟูธรรมชาติ (Rewilding) ที่มุ่งให้ระบบนิเวศหญ้าทะเลกลับคืนสู่สภาพใกล้เคียงธรรมชาติและสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยการจัดการจากมนุษย์มากนัก เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และลดกิจกรรมที่รบกวนระบบนิเวศหญ้าทะเล เช่น การเดินเรือ การทำประมง”

สถานการณ์หญ้าทะเลและพะยูนไทยยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการดำเนินการตามแผนที่วางไว้อย่างจริงจังและเป็นระบบ โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการอนุรักษ์ทะเลไทยให้ยั่งยืน