รองโฆษกเพื่อไทย ชี้ เหตุปิดประชุมสภาฯ เป็นความเข้าใจผิด ประธานสภา-วิป แนะฝ่ายค้านเสนอญัตติศึกษา MOU 43 - 44 เข้ามาใหม่ เชื่อสภาฯ พร้อมพิจารณา เผยผลงานเดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดเริ่มเห็นผล
ที่พรรคเพื่อไทย น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกล่าวถึงกรณีการปิดประชุมสภาอย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา จนฝ่ายค้านนำไปอ้างให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นการปิดสภาเพื่อหนีการเสนอญัตติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาพิจารณา MOU 43 และ MOU 44 ของพรรคฝ่ายค้าน
โดยยืนยันอีกครั้งว่า กรณีที่เกิดขึ้นเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารระหว่างประธานสภากับวิปฝ่ายรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน รัฐบาลไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย มีจุดยืนที่ชัดเจนที่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา และเชื่อมั่นว่าสภาคือเวทีในการร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ซึ่งหลังจากนี้พรรคฝ่ายค้านก็สามารถเสนอญัตติให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาพิจารณา MOU 43 และ MOU 44 เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาได้
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ย้ำต่อว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทยนั้น คือการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดน ยืนอยู่บนความถูกต้องตามข้อเท็จจริง ไม่ใช้ความรู้สึก หรือความหวาดกลัวใดๆ และ MOU 43 (พ.ศ.2543) เป็นเพียงกรอบความร่วมมือจัดตั้ง ‘คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)’ เพื่อสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกกับกัมพูชา ‘ไม่ได้กำหนดเขตแดนใหม่’ แต่เป็นกลไกบริหารจัดการข้อพิพาทอย่างเป็นระบบ
ขณะที่ MOU 44 เป็นเพียงกรอบการเจรจาปักปันเขตทางทะเล การพัฒนาร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน โดยยืนยันหลักการเจรจาทวิภาคีตามกฎหมายระหว่างประเทศ
“หากเรารักชาติ หวงแหนอธิปไตยและหวงดินแดนของชาติอย่างแท้จริง การเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับนี้อาจจะเป็นการกระทำที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่มีการป่าวประกาศ ดังนั้นจึงควรช่วยกันทำให้ความจริงปรากฏ เพื่อเอาชนะความลวงที่แฝงเร้นไว้ด้วยความต้องการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”
น.ส. ชญาภา กล่าวว่า หลายรัฐทั่วโลกต่างก็ประสบปัญหาเดียวกันกับที่ไทยและกัมพูชาเจอ คือ แม้แต่ละรัฐจะถือแผนที่ที่ชัดเจน แต่ก็ยังพบว่าแผนที่ของแต่ละรัฐนั้นมีความเหลื่อมทับกันอยู่ และสิ่งที่หลายรัฐทั่วโลกทำกัน คือการทำให้เกิดเวทีเจรจาในลักษณะทวิภาคีเหมือนกับ MOU 43 และ MOU 44 เพื่อเป็นกลไกในการปักปันเขตแดนร่วมกัน
“การยกเลิก MOU 43–44 โดยไม่ประเมินผลกระทบเชิงระบบที่รอบด้าน อาจทำให้เราสูญเสีย ‘กลไกบังคับให้คู่กรณีต้องนั่งโต๊ะคุยกัน’ ซึ่งโลกใช้เป็นมาตรฐานในการแก้ปัญหาเขตแดน และนอกจากกับกัมพูชาแล้ว ที่ผ่านมาไทยเองก็ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้กับเมียนมา ลาว มาเลเซีย มาโดยตลอด และมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมอย่างมากโดยเฉพาะกรณีมาเลเซีย และลาว”
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยยินดีที่จะปกป้องสิทธิในการชุมนุมโดยสงบของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความพยายามบิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อสร้างกระแสให้เกิดความเกลียดชัง พร้อมฝากถึง พรรคการเมืองฝ่ายค้านที่พยายามรับลูกข้อเสนอที่ผ่านการบิดเบือน ว่า
“MOU ทั้งสองฉบับ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ผูกมัดให้คู่กรณีต้องมานั่งโต๊ะเจรจาพูดคุยและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติ หากไม่มีข้อผูกมัดนี้แล้วเท่ากับเป็นการเปิดทางให้มีบุคคลที่สามเข้ามามีอำนาจชี้ขาดในเรื่องดินแดนระหว่างสองประเทศและอาจกลายเป็นการถูกละเมิดอธิปไตยครั้งใหญ่”
“พรรคการเมืองที่น้อมรับข้อเสนอดังกล่าว และเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อที่จะล้ม MOU ทั้งสองฉบับ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ควรกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนทางการเมืองด้วยเหตุด้วยผล ตั้งมั่นใจจุดยืนในการใช้ความรู้ความสามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และประคับประครองสถานการณ์ต่างๆ ไปด้วยข้อเท็จจริง มากกว่าการพยายามเล่นการเมืองทุกทางเพียงเพราะหวังว่าจะโค่นล้มรัฐบาลให้ได้เท่านั้น”
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง การแก้ไขปัญหายาเสพติดช่วงที่ผ่านมา ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบนั้น ผลลัพธ์เบื้องต้นพบว่า มีการดำเนินการจับกุมการลักลอบขนยาไอซ์ล็อตใหญ่ในสามพื้นที่คือ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดเลย กว่า 2,100 กิโลกรัม รวมทั้งการดำเนินการจับกุมการลักลอบขนยาบ้าที่จังหวัดแพร่อีกกว่า 2 ล้านเม็ด
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของการดำเนินการมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบาย No Drug No Dealers และนโยบาย 8 Quick Win 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข ของรัฐบาลเพื่อไทย นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงแค่การดำเนินการกับผู้ค้ารายใหญ่เพียงเท่านั้น ในหลายจังหวัดได้เริ่มต้นดำเนินการในการนำตัวผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดแล้วหลายหมื่นราย โดยสิ่งนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก ธวัชบุรีและท่าวังผาโมเดล ซึ่งเริ่มต้นดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลท่านเศรษฐา ทวีสิน มาจนถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
โดยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ปัญหายาเสพติดที่กลับมาเป็นปัญหาเรื้อรังอีกครั้งหลังพ้นยุครัฐบาลไทยรักไทย จะถูกแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยรัฐบาลเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่มาจากพรรคเพื่อไทย
วันนี้เราเดินหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาที่กัดกินใจพี่น้องประชาชนมายาวนานอย่างเต็มระบบ และข้าราชการเองต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อที่จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน แม้ตัวเลขการจับกุม การดำเนินการยึดทรัพย์พ่อค้ายาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจะมากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เราจะยังไม่พอใจ และยังไม่ถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จ หรือ KPI ที่สมบูรณ์พอ อย่างที่รัฐมนตรีของเราบอกไว้ว่า ‘จนกว่าเราจะทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่า ปัญหายาเสพติดดีขึ้นหรือหมดไป’ ซึ่งดิฉันเชื่อว่า เรื่องนี้พี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่เริ่มเห็นผลความเปลี่ยนแปลงแล้ว และ KPI ที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ที่เราต้องการจะไปให้ถึง คือการได้เห็นรอยยิ้มของพี่น้องประชาชน เห็นรอยยิ้มของชาวบ้านในชุมชนต่างๆ เห็นน้ำตาของแม่ที่ได้ลูกกลับคืนมา เห็นความภูมิใจของครอบครัวที่ได้ลูกหลานกลับคืนมาจากยาเสพติด นี่คือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องการ สุดท้ายดิฉันยืนยันว่า หากเรายังมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะไม่หยุดเดิน