คอลัมน์ 'คุยเฟื่องเรื่องใกล้ตัว' โดย 'วิฑูรย์ สิมะโชคดี'
CEO หลายบริษัทในวันนี้ บอกกับผมอย่างไม่สบายใจว่า “บริษัทฯ ไม่รับเด็กจบใหม่ครับ”
ข่าวที่กล่าวกันหนาหูในช่วงนี้ ก็คือ
(1) “เด็กจบใหม่ “ว่างงาน” พุ่ง 18.9% ต่างหนุนรัฐให้ Upskill - Reskill รับเศรษฐกิจดิจิทัล” (“ว่างงาน” ในที่นี้ น่าจะรวมถึง “ตกงาน” ด้วย)
(2) เด็กเจนใหม่ มีแค่ 30% ได้งานตรงสายที่เรียนจบมาอนาคตของประเทศไทยจึงดูน่าเป็นห่วงมากเพราะเด็กจบใหม่เหล่านี้ จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในวันข้างหน้า และอีกไม่นานก็จะเติบโตเป็นผู้บริหารของประเทศต่อไปด้วย
เด็กรุ่นที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ คือ “เด็กรุ่น GenZ” (เกิด พ.ศ.2540 - 2555) ซึ่งจบการศึกษาในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหาพอดี
ทุกวันนี้ ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าสังคมไทย ไม่ใช่เพราะประชาชนมีกำลังซื้อลดลงเท่านั้นแต่บริษัทห้างร้านจำนวนมากยอดขายก็ไม่กระเตื้องขึ้นด้วย ตลาดก็ยังแข่งขันกันเดือด หนี้สินครัวเรือนก็สูง บริษัททั่วไปจึงมีนโยบายไม่รับคนเพิ่ม และอีกหลายบริษัทก็ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและ AI มาทดแทนการทำงานของคน ตลาดแรงงานจึงหดตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบันเด็กจบ(ปริญญาตรี)จำนวนมากที่จบมาแล้วหางานทำไม่ได้จึงเดินเตะฝุ่นตกงาน หลายคนเสียกำลังใจ ยิ่งนานวันก็ยิ่งท้อแท้และอยู่แบบเฉื่อยชาไปวันๆ อีกหลายคนจำใจต้องรับงาน “จ๊อบ” บ้างก็ทำงานแบบ “อาชีพอิสระ”(Freelance)ด้วยความจำเป็นปิดจ๊อบหมดงานก็หมดเงินโอกาสที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้ศึกษาเรียนรู้มาก็น้อยลงทุกที
เด็กๆ รุ่นนี้ที่ว่างงาน ส่วนหนึ่งจึงรู้สึกหมดหวังกับความพยายามที่หางานต่างๆ ทำแล้ว ได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านหรือร้านกาแฟ และจมปลักอยู่กับโลก Social ไปวันๆ บ้างก็หลงทางไปสู่อบายมุขก็มี
เพื่อนหลายคนรุ่นผม เล่าให้ฟังว่า หลานๆ ที่จบมานานเกือบปีแล้ว (จบนอกด้วย) ยังหางานทำไม่ได้ ต้องอยู่กับบ้านเฉยๆ และเริ่มหมดกำลังใจที่จะหางานทำอย่างจริงจังต่อไป พ่อแม่ก็กลุ้ม กลุ้มกันทั้งบ้าน ถ้าเป็นครอบครัวที่มีฐานะก็ค่อยยังชั่ว แต่ถ้าฐานะไม่ค่อยดี ก็จะลำบาก
ยิ่งนานวันความรู้ความสามารถของเด็กว่างงานก็จะยิ่งล้าสมัยและศักยภาพลดน้อยถอยลงด้วยจนเด็กหลายคนรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า (ถึงหางานไม่ได้) และออกอาการน่าเป็นห่วง
ขณะเดียวกัน เพื่อนๆ และผู้ใหญ่หลายท่านเชื่อกันว่า เด็กจบใหม่รุ่นนี้มักจะมีปัญหาเรื่อง ไม่ขยัน ไม่สู้งาน ไม่อดทนและกิริยามารยาทไม่เรียบร้อยเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สอนยาก หลายคนชอบเปลี่ยนงานบ่อยๆ เพื่อยกระดับเงินเดือน เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นความเชื่อผิดๆ ของผู้ใหญ่ ที่ได้รับฟังกันมา
สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เราต้องพิจารณากันโดยด่วนว่า (1) เราควรจะทำใจยอมรับ (เมินเฉยต่อปัญหานี้) (2) เราควรช่วยกัน Reskill, Upskill, Newskill เด็กจบใหม่และพนักงานที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน หรือ (3) เราควรช่วยกันสร้าง “โอกาส” ใหม่ๆ เพื่อให้เด็กได้ใช้ศักยภาพตนเองมากขึ้น
เรื่องว่างงานที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นในวันนี้ จะกลายเป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ในอนาคตอย่างแน่นอน
ระบบการศึกษาจึงน่าจะเป็นด่านแรกที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ (โดยเฉพาะเรื่องของ Reskill Upskill และ Newskill ที่ตอบโจทย์) พร้อมๆ กับการเร่งปรับเปลี่ยน วิชาความรู้ให้สอดคล้องเท่าทันความต้องการของตลาดแรงงาน และกระแสโลกกระแสสังคมด้วย
ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับกันว่า หลักสูตรที่เรียนที่สอนกันอยู่ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องงานที่ตรงตามที่ตลาดต้องการจริงๆ และที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นอีก ก็คือความกดดันที่เกิดจากระบบ Digital AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กล่าวอ้างกันว่าจะมาทำงานแทนคนและทำให้หลายอาชีพต้องสูญพันธุ์
ทั้งหมดทั้งปวงของปัญหา “ว่างงาน – ตกงาน – ตรงงาน” นี้ จะต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดของภาครัฐราชการ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม เพื่อการ Upskill - Reskill - Newskill อย่างเร่งด่วน ครับผม !