ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แสดงบทบาทผู้นำอาเซียน เชื่อมั่นการเจรจาคือทางออก เรียกร้องไทย-กัมพูชาหยุดยั้งความตึงเครียดบริเวณสามเหลี่ยมมรกต
ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ออกแถลงการณ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่าได้ติดต่อโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา เพื่อแสดงความชื่นชมต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหาชายแดนที่เกิดขึ้นผ่านแนวทางการเจรจาและช่องทางการทูต
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณพื้นที่พิพาท “สามเหลี่ยมมรกต” โดยอันวาร์เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายดำรงท่าทีอย่างมีเหตุผล และเร่งดำเนินมาตรการลดความตึงเครียด พร้อมเดินหน้าไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างสันติและรอบด้าน
“มาเลเซียให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทั้งสองประเทศอย่างลึกซึ้ง ผมขอเรียกร้องให้ประเทศไทยและกัมพูชายังคงใช้ความอดกลั้นต่อไป และใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดการเผชิญหน้า รวมถึงร่วมกันแสวงหาทางออกอย่างสันติ"
ในฐานะที่มาเลเซียดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนประจำปี 2025 ผู้นำมาเลเซียยังได้สะท้อนถึงบทบาทของอาเซียน ในฐานะเวทีในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของอันวาร์มีขึ้นหลังจากเกิดเหตุปะทะเล็กน้อยระหว่างกำลังทหารของไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนในจังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้หลายฝ่ายในภูมิภาคเริ่มจับตาความเคลื่อนไหวด้วยความกังวลว่าเหตุการณ์อาจลุกลามได้ หากปราศจากกลไกทางการทูตที่มีประสิทธิภาพ
4เหล่าทัพไทยหนุนกองทัพบก ปกป้องอธิปไตย
ขณะที่กองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ร่วมกันปฏิบัติภารกิจในการสนับสนุนรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะการรักษาอธิปไตยบริเวณแนวชายแดนในทุกสถานการณ์ พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ
ซึ่งทุกเหล่าทัพได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมสนับสนุนกองทัพบกในทุกมิติ
ในการนี้ กองทัพบก ได้รายงานต่อที่ประชุมอย่างละเอียดถึงเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเหตุการณ์ โดยยืนยันว่าการปฏิบัติของทหารไทยเป็นไปตามกฎหมายและกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมสถานการณ์และป้องกันการลุกลาม โดยอิงตามแนวเส้นปฏิบัติการที่ประเทศไทยถือปฏิบัติต่อเนื่องมาโดยตลอด
ทั้งนี้ กองทัพบกได้ชี้แจงว่าเหตุปะทะที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นระหว่างทหารไทยทำการลาดตระเวนในพื้นที่ประเทศไทย และถูกฝ่ายทหารกัมพูชาเปิดฉากการยิง จึงได้ทำการยิงตอบโต้ ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการชี้แจงผ่านช่องทางทางการแล้วโดยครบถ้วน อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายไทยจะดำเนินการประสานงานผ่านกลไกการเจรจาที่ทั้งสองประเทศเคยตกลงกันไว้ แต่กลับไม่ส่งผลในการคลี่คลายสถานการณ์เท่าที่ควร อีกทั้งยังตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังของทหารฝ่ายกัมพูชา ซึ่งถือเป็นภัยคุมคามต่อความมั่นคงของชาติ
ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยยกระดับความพร้อมของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และแผนเผชิญเหตุเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากจำเป็นต้องดำเนินมาตรการทางทหารเพื่อตอบโต้การรุกล้ำอธิปไตยและปกป้องคุ้มครองประชาชน
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับทราบการเตรียมการสนับสนุนจากทุกเหล่าทัพเพื่อปกป้องประเทศ อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ การดำเนินการด้านการข่าวร่วม ด้านยุทธการร่วม ด้านส่งกำลังบำรุงร่วม และสนับสนุนข้อมูลให้กับหน่วยงานราชการอื่นๆของรัฐบาล อาทิ กรมแผนที่ทหารสนับข้อมูลด้านข่าวกรองภูมิสารสนเทศ (GEOINT) ให้กับ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) Joint Boundary Committee (JBC) กรมข่าวทหารทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และการเตรียมชี้แจงผู้ช่วยทูตทหารต่างชาติในประเทศไทย รวมถึงผู้ช่วยทูตทหารไทยในต่างประเทศให้รับทราบข้อเท็จจริงและแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลและกองทัพไทยในการคลี่คลายสถานการณ์
ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ยืนยันจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเด็ดขาด โดยสั่งการให้ตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยตำรวจในพื้นที่ชายแดนเตรียมความพร้อมเต็มรูปแบบ ทั้งด้านกำลังพล อาวุธ และยุทโธปกรณ์ รวมถึงจัดทำแผนเผชิญเหตุ เพิ่มมาตรการสืบสวนหาข่าวเชิงลึก และเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการเผยแพร่ข่าวปลอม พร้อมเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองบุคคลต่างด้าวตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคง และบูรณาการการทำงานร่วมกับกองทัพอย่างใกล้ชิดทั้งในพื้นที่แนวหน้าและแนวหลังในช่วงท้ายของการประชุมฯ
กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันอย่างชัดเจนในการสนับสนุนภารกิจของกองทัพบกอย่างเต็มขีดความสามารถ ทั้งในด้านการวางแผน การปฏิบัติการ และการประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย และเกียรติภูมิของชาติไทย พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินงานภายใต้หลักสากล การรักษาสันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค
กองทัพไทยขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ และรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน พร้อมทั้งขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ในการใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และร่วมเป็นพลังสำคัญในการธำรงความมั่นคง สันติสุข และความสามัคคีของชาติไทยอย่างยั่งยืน