รัฐเปิดกลยุทธ์ใหม่พัฒนาการท่องเที่ยวผ่านโครงการ "Thailand Entertainment Complex" ดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวทั้งปี หนุนเศรษฐกิจโต ไม่ใช้ภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวที่กระทรวงการคลังถึงแผนการพัฒนา “Thailand Entertainment Complex” ว่า โครงการนี้คือหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้พ้นจากกับดักเดิมที่แม้จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่รายได้ต่อหัวกลับไม่เพิ่มขึ้นในระดับที่ควรจะเป็น
นายศึกษิษฏ์อธิบายว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2010 ประเทศไทยครองตำแหน่งหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แม้จะสะดุดลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ปี 2023–2024 ก็สามารถกลับมาติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวยังไม่เติบโต สะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนแนวทางพัฒนาให้สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อการเดินทางเข้ามาของแต่ละคนให้มากขึ้น
รัฐบาลจึงได้กำหนดเป้าหมายใหม่ในการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นไปที่ “การท่องเที่ยวแบบไม่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล” และ “การท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นใหม่” (Man-Made Destination) ตัวอย่างเช่น การผลักดันอีเวนต์ระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทย อาทิ F1 วิจิตรเจ้าพระยา มหาสงกรานต์ Splash หรือการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงรายการ FIVB Nations League รวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ผ่านแนวคิด “5 Must Do in Thailand” การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) และโครงการใหม่ๆ เช่น เช้าภูกระดึง Cruise Terminal และ Entertainment Complex
ในจำนวนนี้ “Thailand Entertainment Complex” คือหนึ่งในกลไกหลักที่ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังถูกวางบทบาทให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่หมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี สร้างงาน สร้างอาชีพ และกระจายรายได้สู่ประชาชน โดยไม่มี “ฤดูท่องเที่ยวที่ตาย” อีกต่อไป
รูปแบบของ Entertainment Complex จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ในลักษณะ Man-Made Destination ที่มีองค์ประกอบหลากหลายตั้งแต่สวนสนุก สวนน้ำ พิพิธภัณฑ์ สเตเดียมอเนกประสงค์ในร่ม พื้นที่สีเขียว พื้นที่แสดงวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP โรงแรมระดับ 5 ดาว ศูนย์นวัตกรรมสำหรับสตาร์ทอัพ ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ คอนเสิร์ตฮอลล์ระดับโลก ศูนย์ประชุมและนิทรรศการขนาดใหญ่ ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ไปจนถึงท่าจอดเรือยอชท์ และกาสิโน (ที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดตามกฎหมายและมาตรฐานสากล)
นายศึกษิษฏ์กล่าวว่า โครงการในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในเวทีโลก หลายประเทศได้ดำเนินการไปแล้ว และพบว่ามีผลทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เช่น เวียดนามมีรายได้จากสถานบันเทิงครบวงจรปี 2022 สูงถึง 180,000 ล้านบาท เกาหลีใต้ 320,000 ล้านบาท และสิงคโปร์ 430,000 ล้านบาท โดยในภาพรวม ตลาด Entertainment Complex ทั่วโลกมีมูลค่าถึง 54 ล้านล้านบาทต่อปี
สิ่งสำคัญที่นายศึกษิษฏ์ย้ำคือ โครงการนี้จะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนทั้งหมด โดยไม่ใช้ภาษีของประชาชนแม้แต่บาทเดียว แต่รัฐจะได้ประโยชน์มหาศาลในรูปแบบของการเพิ่มรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยว (คาดว่าเฉลี่ย 22,300 บาท/คน/ทริป) เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวม 5–20% ต่อปี และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง Low Season ได้ถึง 13% ส่งผลให้การท่องเที่ยวไทยเกิดความสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ส่วนในประเด็นที่เป็นที่ถกเถียง เช่น การมี “กาสิโน” ภายใน Entertainment Complex นายศึกษิษฏ์ย้ำว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าได้ และ กาสิโนจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดตามกฎหมายและมาตรฐานการดูแลระดับโลก ตั้งแต่มาตรการดูแลผู้เล่นในกาสิโน, การห้ามเข้า, และรวมถึงมีการลงทะเบียนและติดตามผู้เล่น รวมถึงมีมาตรการดูแลเพื่อสังคม เช่น การสนับสนุนทุนการศึกษา, การทำ CSR เพื่อสังคม และ การป้องกันและเยียวยา
ท้ายที่สุด นายศึกษิษฏ์ย้ำว่า ปัจจุบัน โครงการ Entertainment Complex ของไทย ยังอยู่ที่จุดเริ่มต้น คือการทำกฎหมายเท่านั้น เฉพาะแผนการทำงานคาดว่าจะกินเวลาราว 3 ปี และทุกนาทีที่เสียไป เท่ากับ ‘โอกาส’ ที่ประเทศไทยเสียไปเช่นกัน